กลุ่มผู้ถือพันธบัตรของบริษัท เจเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ป (GM) มีแนวโน้มที่จะสนับสนุนจุดยืนของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐที่เรียกร้องให้จีเอ็มลดต้นทุนมากกว่าเดิม โดยที่ปรึกษาของคณะกรรมการผู้ถือพันธบัตรเปิดเผยว่า แผนการเอาตัวรอดแบบรุกมากกว่าเดิมนี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าของหลักทรัพย์และพันธบัตรใหม่ที่กลุ่มผู้ถือพันธบัตรจะได้รับเพื่อแลกเปลี่ยนกับการลดหนี้จีเอ็มมูลค่า 2.75 หมื่นล้านดอลลาร์
ผู้แทนของกลุ่มผู้ถือพันธบัตรได้เข้าพบกับคณะทำงานด้านยนต์ของโอบามาเมื่อวันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา และได้แสดงความเป็นห่วงเรื่องแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจว่าจะไม่มีความคืบหน้าพอที่จะรับประกันได้ว่า จีเอ็มจะรอดพ้นจากภาวะล้มละลาย
บลูมเบิร์กรายงานว่า ทีมงานของโอบามาได้บีบให้นายริค วาโกเนอร์ ซีอีโอของจีเอ็มลาออกจากตำแหน่ง หลังจากที่ได้ฟันธงว่า บริษัทไม่ได้เปลี่ยนแปลงแผนการณ์เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าบริษัทจะสามารถเอาตัวรอดจากวิกฤตตลาดรถยนต์ที่รุนแรงที่สุดในรอบ 27 ปี ด้านโอบามากล่าวว่า เจ้าหนี้ กลุ่มผู้ถือหุ้น พนักงาน ดีลเลอร์ และซัพพลายเออร์ของบริษัทควรจะที่เสียสละมากกว่านี้
พีท เฮสติ้งส์ นักวิเคราะห์ของมอร์แกน คีแกน อิงค์ กล่าวว่า หลังจากที่ยอดขอความช่วยเหลือพุ่งขึ้นจาก 2.75 หมื่นล้านดอลลาร์เป็น 9 พันล้านดอลลาร์ และไม่ว่าตัวเลขจะหยุดลงที่เท่าไรก็ตาม อนาคตของหลายฝ่ายขึ้นอยู่กับความสำเร็จในอนาคตของจีเอ็ม กลุ่มผู้ถือพันธบัตรต้องการให้มีการรับประกันว่า พันธบัตรที่ตนเองถืออยู่จะมีค่าในระดับหนึ่งในอนาคต และสิ่งที่จะช่วยให้เป็นเช่นนั้นได้ก็คือ การลดโครงสร้างต้นทุนลงให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เฮสติ้งส์ กล่าวต่อไปว่า แผนการที่จีเอ็มส่งมาเมื่อเดือนที่แล้วนั้นไม่ได้มีความคืบหน้าและหลักประกันใดๆที่ว่า บริษัทจะกลับมาทำกำไรได้อีก และสหภาพต่างๆเองก็ควรจะถูกบีบให้ลดการรับความช่วยเหลือมากกว่าเดิม จีเอ็มจำเป็นต้องขอให้สหภาพพนักงานอนุมัติให้มีการลดการให้เงินสดในส่วนของสวัสดิการจากกองทุนการดูแลสุขภาพของพนักงานที่เกษียณอายุของสมาคมสิทธิประโยชน์ของพนักงานจาก 2.04 หมื่นล้านดอลลาร์ เหลือ 1.02 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการถือหุ้น
โอบามากล่าวที่ทำเนียบขาวหลังจากที่ได้ให้เวลากับจีเอ็ม 60 วัน และไครสเลอร์ 30 วันกลับไปทำแผนปรับโครงสร้างมาใหม่ว่า บริษัทรถจะต้องจัดทำแผนที่ทำให้ชาวอเมริกันเชื่อมั่นในแนวโน้มระยะยาวของบริษัทว่าจะประสบความสำเร็จ และเราไม่สามารถช่วยฟื้นอุตสาหกรรมยานยนต์ได้ด้วยการใช้เงินภาษีของประชาชนแต่เพียงอย่างเดียว