ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับสกุลเงินเยน ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (31 มี.ค.) หลังจากญี่ปุ่นเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ซึ่งทำให้นักลงทุนเทขายเงินเยนและเข้าซื้อดอลลาร์ นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้รับแรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของตลาดหุ้นนิวยอร์ก หลังจากสหรัฐเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมี.ค.ที่ปรับตัวสูงขึ้น
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้น 1.65% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 98.900 เยน/ดอลลาร์ จากระดับของวันจันทร์ที่ 97.290 เยน/ดอลลาร์ และแข็งค่าขึ้น 0.84% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 1.1384 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.1481 ฟรังค์/ดอลลาร์
ค่าเงินยูโรดีดตัวขึ้น 0.41% แตะระดับ 1.3260 ดอลลาร์/ยูโร จากระดับของวันจันทร์ที่ 1.3206 ดอลลาร์/ยูโร และเงินปอนด์พุ่งขึ้น 0.50% แตะระดับ 1.4326 ดอลลาร์/ปอนด์ จากระดับ 1.4255 ดอลลาร์/ปอนด์
ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้น 1.79% แตะระดับ 0.6926 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับของวันจันทร์ที่ 0.6804 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ดีดตัวขึ้น 0.14% แตะระดับ 0.5632 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.5624 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับสกุลเงินเยน หลังจากสำนักงานคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด รายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมี.ค.ของสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับ 26.0 จุด จากเดือนก.พ.ที่ระดับ 25.3 จุด นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้รับแรงหนุนจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ดีดตัวขึ้น 86.90 จุด หรือ 1.16% แตะที่ 7,608.92 จุดเมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มการเงิน
ขณะที่ค่าเงินเยนได้รับแรงกดดันอย่างหนัก หลังจากกระทรวงแรงงานญี่ปุ่นเปิดเผยว่า อัตราว่างงานเดือนก.พ.พุ่งขึ้นแตะระดับ 4.4% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี ขณะที่นายเคียวเฮอิ มอริตะ นักวิเคราะห์จากบาร์เคลย์ส แคปิตอล คาดการณ์ว่า อัตราว่างงานจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 5.7% ในปีนี้ เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นยังคงลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการปลดพนักงานและลดต้นทุนการซื้อเครื่องจักร
นักลงทุนจับตาดูการประชุมสุดยอด G20 ที่กรุงลอนดอนในวันที่ 2 เม.ย.นี้ โดยนายบิล แรมเมลล์ รัฐมนตรีฝ่ายกิจการเครือจักรภพและต่างประเทศของอังกฤษเปิดเผยว่า ที่ประชุมจะเรียกร้องให้ชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและประเทศกลุ่มตลาดเกิดใหม่ใช้กฎข้อบังคับด้านการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นและร่วมมือกันใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้ทั่วโลกสามารถรับมือกับวิกฤตการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันได้
ส่วนค่าเงินยูโรแม้ฟื้นตัวขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ แต่ยังคงได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ โดยสำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) รายงานว่า อัตราเงินเฟ้อเดือนมีนาคมในเขตยูโรโซน หรือ กลุ่มประเทศที่ใช้เงินยูโร ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.6% จากระดับ 1.2% ในเดือนก.พ. ซึ่งทำให้เกิดความวิตกเรื่องภาวะเงินฝืด