สำนักวิจัยทิสโก้ ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ(GDP)ของไทยในปี 52 จากเดิม -0.8% เป็น -3.9% หลังจาก GDP หดตัวรุนแรงในไตรมาส 1/52 ที่ -6.5% เชื่อว่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้ ก่อนจะค่อย ๆ ฟื้นตัว และจะขยายตัวได้ 2.7% ในปีหน้า
สาเหตุที่มองว่า GDP จะหดตัวมากกว่าเดิม เพราะมีการลดลงอย่างรุนแรงของปริมาณการค้าระหว่างประเทศของไทยกับคู่ค้าหลัก โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ G3 ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่ไทยทำการค้าขายด้วยมากที่สุด และยิ่งไปกว่านั้นการฟื้นตัวยังต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน โดยต้องอาศัยการฟื้นตัวของสหรัฐฯ เป็นประเทศแรก
นอกจากนี้ ไทยเพิ่งจะเผชิญกับผลกระทบรอบแรกของภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งนี้ เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจในระยะเวลาที่ผ่านมานั้นสะท้อนการลดลงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพียงแค่ระดับหนึ่ง ซึ่งคาดว่าภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกยังอยู่ในช่วงขาลงและยังไม่ถึงจุดต่ำสุด อีกทั้งนโยบายการคลังไม่สามารถชดเชยการหดตัวของอุปสงค์จากต่างประเทศได้
"เม็ดเงินที่รัฐบาลใช้จ่ายออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นนั้นน้อยเกินไป โดยนโยบายที่อยู่ในแผนงานของรัฐบาลค่อนข้างเน้นไปที่การกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว ไม่ใช่ระยะสั้นตามที่ควรจะเป็น" เอกสารเผยแพร่ ระบุ
ทิสโก้ ยังประเมินว่า GDP จะฟื้นตัวเป็น 2.7% ในปี 53 เนื่องจากผลวิจัยภาคสนามของทิสโก้ พบว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจ เช่น ยอดขายอสังหาริมทรัพย์, ยอดขายรถยนต์, ยอดนักท่องเที่ยวที่เข้าพักในโรงแรมปรับตัวดีขึ้นในเดือนมี.ค. ทำให้ตัวเลขต่างๆ เมื่อเปรียบเทียบแบบเดือนต่อเดือนปรับตัวได้ดีมากขึ้น
สำหรับตัวเลขทางเศรษฐกิจในปี 52 คาดว่ามูลค่าส่งออก -23%, มูลค่านำเข้า -24.7%, ดุลการค้าเกินดุล 3.2 พันล้านดอลลาร์, ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 3.4 พันล้านดอลลาร์, อัตราเงินเฟ้อทั่วไป -0.9%, อัตราดอกเบี้ยนโยบายเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 1% และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยทั้งปีที่ 36.28 บาท/ดอลลาร์
อย่างไรก็ดี ในปีนี้ภายใต้ภาวะการเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศนั้น อุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับกับประมง, เกษตรกรรม และปศุสัตว์ จะได้รับผลกระทบน้อยที่สุดภายใต้สถานการณ์ที่อุปสงค์โดยรวมอ่อนแอ แต่หากอยู่ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัว จะพบว่าอุตสาหกรรมเครื่องดื่มและยาสูบ, เหล็กและเหล็กกล้า, เคมีภัณฑ์ และเครื่องจักรและอุปกรณ์ จะได้รับผลประโยชน์มากที่สุด