นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 52 โดยคาดว่าจะมีการใช้จ่ายราว 98,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.18% จากช่วงสงกรานต์ปีก่อน แต่อัตราที่เพิ่มขึ้นถือว่าน้อยที่สุดในรอบ 5 ปี ตั้งแต่ปี 49
สำหรับการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการใช้จ่ายเงินผ่านเช็คช่วยชาติ 2,000 บาทที่คาดว่าประชาชนจะนำออกมาใช้จ่ายช่วงเทศกาลสงกรานต์คิดเป็นสัดส่วน 20-30% หรือประมาณ 3,000-5,400 ล้านบาทของเม็ดเงินที่รัฐบาลแจกจ่ายผ่านเช็คช่วยชาติทั้งหมด 10,000-18,000 ล้านบาท แต่หากตัดเงินที่ใช้จ่ายผ่านเช็คช่วยชาติออกจะทำให้สงกรานต์ปีนี้มีเงินสะพัดเพียง 93,000-95,000 ล้านบาท หรือลดลง 1-3% เมื่อเทียบกับการใช้จ่ายช่วงสงกรานต์ปีก่อน
นายธนวรรธน์ กล่าวว่าเม็ดเงินที่สะพัด 98,200 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2.18% ถือว่าเป็นอัตราขยายตัวต่ำสุดในรอบ 5 ปี สะท้อนว่าสภาพเศรษฐกิจไทยยังน่าห่วง ประชาชนกังวลกับปัญหาเศรษฐกิจและการว่างงาน เห็นได้จากคำถามว่าของขวัญที่คนไทยอยากได้มากสุดในช่วงเทศกาลสงกรานต์คืออะไร ส่วนใหญ่ตอบว่าต้องการให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องมากที่สุด 55.47% ขณะที่การแก้ไขปัญหาการเมืองมีผู้ตอบ 26.21% เท่านั้น
"ประชาชนห่วงเรื่องปากท้องมาก โดยเฉพาะเดือน เม.ย.ที่เกรงว่า หลังจากสงกรานต์แล้วจะเกิดปัญหาการเลิกจ้างงานตามมา คนจึงเห็นด้วยให้รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านเม็ดเงิน 1.56 ล้านล้านบาท แต่ยังมีความไม่เข้าใจในเรื่องของการกู้เงินมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจว่าจะได้ประโยชน์อย่างไร เพราะห่วงว่าประเทศจะเป็นหนี้มากขึ้น ดังนั้นรัฐบาลต้องเร่งสร้างความเข้าใจเรื่องการกู้เงินให้กับประชาชน" นายธนวรรธน์ กล่าว
นายธนวรรธน์ ยังกล่าวถึงการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดงวันพรุ่งนี้(8 เม.ย.)ว่า หากเกิดเหตุการณ์รุนแรง ยืดเยื้อ หรือปิดล้อมแหล่งคมนาคมขนส่ง เช่น สนามบิน จะทำให้ปีนี้เศรษฐกิจไทยติดลบ 5-6% เพราะนักท่องเที่ยวจะหายไป รายได้จากการท่องเที่ยวจะหายไปอีกแสนล้านบาท เหลือ 4 แสนล้านบาท การส่งออกติดลบ 15-20%
แต่หากการชุมนุมอยู่ภายใต้กรอบประชาธิปไตย โดยรัฐบาลยังบริหารประเทศต่อไปได้ จะทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ติดลบแค่ 3% การส่งออกติดลบ 10-20% รายได้จากการท่องเที่ยวอยู่ที่ 5 แสนล้านบาท หรือหากมีการยุบสภาเลือกตั้งใหม่ จะส่งผลให้เศรษฐกิจทั้งปีติดลบ 4% แต่เชื่อว่าเหตุการณ์นี้คงไม่เกิด เพราะรัฐบาลน่าจะเจรจาและบริหารประเทศต่อไปได้