เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ธนาคารรายใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐในแง่สินทรัพย์ รายงานผลประกอบการไตรมาสแรก ปี 2552 ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้ของธุรกิจวาณิชธนกิจที่สูงเป็นประวัติการณ์
เจพีมอร์แกนเผยว่า บริษัทมีกำไร 2.14 พันล้านดอลลาร์ หรือ 40 เซนต์ต่อหุ้น ลดลง 10% จากระดับ 2.37 พันล้านดอลลาร์ หรือ 68 เซนต์ต่อหุ้นในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แต่ตัวเลขดังกล่าวยังสูงกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่บลูมเบิร์กสำรวจความคิดเห็นว่า กำไรต่อหุ้นน่าจะอยู่ที่ 32 เซนต์
มูลค่าตลาดของเจพีมอร์แกนเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าในเดือนที่ผ่านมา จากกระแสคาดการณ์เกี่ยวกับผลกำไรของธนาคาร โดยบรรดานักลงทุนและนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่าวิกฤตสินเชื่อตึงตัวทั่วโลกที่ธนาคารเผชิญกำลังคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น นอกจากนี้ เจมี่ ไดมอน ซีอีโอของเจพีมอร์แกน ยิ่งช่วยจุดประกายความหวัง เมื่อเขาออกมาเผยว่าธนาคารทำกำไรได้ในเดือนม.ค.และก.พ.2552
ทั้งนี้ การที่เจพีมอร์แกนซื้อกิจการแบร์ สเติร์นส เมื่อปีที่แล้ว ถือเป็นการลดคู่แข่งด้านวาณิชธนกิจไปหนึ่งราย อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมธุรกิจเทรดสินค้าโภคภัณฑ์และธุรกิจโบรกเกอร์ของเจพีมอร์แกน ขณะที่การซื้อกิจการวอชิงตัน มูชวล อิงค์ เมื่อเดือนก.ย.ปีที่แล้ว ก็กำลังทำกำไรให้บริษัท ด้วยการขยายขอบเขตการให้บริการธนาคารพาณิชย์และธนาคารเพื่อรายย่อยไปสู่ภูมิภาคต่างๆของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงฝั่งตะวันตก
ไดมอน ซึ่งนำเจพีมอร์แกนเข้าขอรับความช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐเป็นจำนวนเงิน 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ช่วยให้ธนาคารสามารถฝ่าฟันวิกฤตการเงินในช่วงไตรมาสสี่ปีที่แล้ว ด้วยการลดมูลค่าสินทรัพย์ทางบัญชี ตัวเลขขาดทุน และการจัดหาสินเชื่อ รวมมูลค่า 3.33 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าดีกว่าคู่แข่งหลายราย อาทิ ซิตี้กรุ๊ปที่มีตัวเลขดังกล่าวสูงถึง 8.83 หมื่นล้านดอลลาร์ และดีกว่าตัวเลข 5.59 หมื่นล้านดอลลาร์ของเมอร์ริล ลินช์ ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของแบงก์ ออฟ อเมริกา ธนาคารรายใหญ่สุดของสหรัฐ
โดยไดมอนเผยว่า เขามีความกระตือรือร้นที่จะชำระเงินคืนรัฐบาลให้เร็วที่สุดและอย่างรอบคอบ เพื่อช่วยให้เจพีมอร์แกนพ้นจากข้อจำกัดต่างๆที่มาพร้อมกับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล บลูมเบิร์กรายงาน