ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโรและปอนด์ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (16 เม.ย.) เพราะได้แรงหนุนจากผลประกอบการที่ดีเกินคาดของสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่อย่างเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค และโกลด์แมน แซคส์ นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐทำให้นักลงทุนเข้าซื้อดอลลาร์เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ค่าเงินยูโรร่วงลง 0.38% แตะที่ 1.3169 ดอลลาร์/ยูโร จากระดับของวันพุธที่ 1.3219 ดอลลาร์/ยูโร และเงินปอนด์ดิ่งลง 0.39% แตะที่ 1.4928 ดอลลาร์/ปอนด์ จากระดับ 1.4986 ดอลลาร์/ปอนด์
ค่าเงินดอลลาร์พุ่งขึ้น 0.46% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 1.1478 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับของวันพุธที่ 1.1426 ฟรังค์/ดอลลาร์ แต่อ่อนตัวลง 0.04% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 99.350 เยน/ดอลลาร์ จากระดับ 99.390 เยน/ดอลลาร์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลง 1.15% แตะระดับ 0.7196 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับของวันพุธ 0.7280 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย และดอลลาร์นิวซีแลนด์ดิ่งลง 1.75% แตะระดับ 0.5711 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.5813 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์
เทรดเดอร์เข้าซื้อสกุลเงินดอลลาร์เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงหลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านในเดือนมี.ค.ร่วงลง 10.8% แตะระดับ 510,000 ยูนิต ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
ไรอัน สวีท หัวหน้านักวิเคราะห์จาก Moody’s Economy.com ในมลรัฐเพนซิลวาเนียกล่าวว่า จำนวนบ้านค้างสต็อกที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ราคาบ้านทรุดตัวลงทั่วสหรัฐ และเป็นเหตุให้บริษัทรับสร้างบ้านชะลอโครงการใหม่ๆ อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ให้คำมั่นสัญญาว่าจะลดจำนวนบ้านที่ถูกยึด และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งใช้นโยบายซื้อหลักทรัพย์เพื่อกระตุ้นดีมานด์ในตลาด
ดัชนี S&P Case/Shiller Index ซึ่งเป็นดัชนี้บ่งชี้ราคาบ้านใน 20 เมืองใหญ่ๆของสหรัฐบ่งชี้ว่า ราคาบ้านในสหรัฐในสหรัฐเดือนม.ค.ร่วงลง 19% จากปีที่แล้ว ซึ่งเป็นสถิติที่ปรับตัวลงรวดเร็วสุดเป็นประวัติการณ์
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คาดการณ์ว่า ราคาบ้านในสหรัฐจะร่วงลงอีกในปีนี้ และยังไม่มีสัญญาณว่าจะฟื้นตัวขึ้นในเร็วๆนี้ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อบริษัทสร้างบ้านและภาพรวมในตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยเฟดคาดว่าอุตสาหกรรมก่อสร้างจะหดตัวไปจนถึงช่วงปลายปีนี้
นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้รับแรงหนุนจากเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ธนาคารรายใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐในแง่สินทรัพย์ รายงานว่าธนาคารมีกำไร 2.14 พันล้านดอลลาร์ หรือ 40 เซนต์ต่อหุ้น ลดลง 10% จากระดับ 2.37 พันล้านดอลลาร์ หรือ 68 เซนต์ต่อหุ้นในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แต่ตัวเลขดังกล่าวยังสูงกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่ากำไรต่อหุ้นจะอยู่ที่ 32 เซนต์
ขณะที่โกลด์แมน แซคส์ รายงานผลกำไรไตรมาส 1 ปี 2552 ที่ 1.8 พันล้านดอลลาร์ หรือ 3.39 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ เนื่องจากกำไรจากการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ได้ช่วยชดเชยการขาดทุนจากการปล่อยกู้ในภาคอสังหาริมทรัพย์