นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ รายงานผลกระทบทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองภายในประเทศ โดยในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา(อาเซียน+3 และ +6) ที่พัทยา เมื่อวันที่ 10-12 เม.ย.ที่ผ่านมา ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประเทศโดยรวม
เนื่องจากมีกำหนดการลงนามความตกลง 2 ฉบับ แต่สามารถดำเนินการได้เพียงฉบับเดียว คือ ความตกลงยอมรับร่วมสำหรับการตรวจผลิตภัณฑ์ยาตามหลักเกณฑ์และวิธีการผลิตที่ดี ส่วนอีกฉบับที่ยังไม่ได้มีการลงนาม คือ ความตกลงด้านการลงทุนของอาเซียน-จีน
ขณะที่การส่งออกในระยะยาวนั้นอาจได้รับผลกระทบเนื่องจากผู้ประกอบการต่างชาติย้ายฐานการผลิตหรือตัดสินใจไปลงทุนในประเทศอื่นแทนประเทศไทย ส่วนการฟื้นฟูภาพลักษณ์ของประเทศนั้นจะส่งผลกระทบโดยตรงกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ดังนั้นรัฐบาลจำเป็นต้องเร่งดำเนินการให้เกิดความสงบในประเทศและสร้างเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศ
อุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ คือ อุตสาหกรรมอิเล็คทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมยานยนต์และอะไหล่ แต่อุตสาหกรรมที่ยังไม่ได้รับผลกระทบ คือ อุตสาหกรรมอาหารแช่เยือกแข็ง อุตสาหกรรมอาหารสำเร็จรูป อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวอาจเกิดผลกระทบต่อความมั่นใจในการสั่งซื้อสินค้า
การส่งออกได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก แต่จากที่ได้สอบถามจากประเทศคู่ค้าสำคัญที่เข้าร่วมการประชุมอาเซียน ได้แก่ จีน และญี่ปุ่น ที่มีสัดส่วนมูลค่าการส่งออกถึง 52% ของการส่งออกทั้งหมดของไทยพบว่ายังมีคำสั่งซื้อสินค้าและยืนยันที่จะเดินทางมาร่วมงานแสดงสินค้าในไทยตามเดิม
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า มาตรการรองรับที่ต้องเร่งดำเนินการนั้นได้มีสั่งการให้สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศทั้ง 61 แห่ง ประสานกับผู้นำเข้าและชี้แจงทำความเข้าใจถึงสถานการณ์ทางการเมืองว่ากลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว นอกจากนี้ต้องเร่งจัดกิจกรรมกระตุ้นการส่งออกทั้งตลาดเดิมและตลาดใหม่