ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับยูโร ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (17 เม.ย.) เพราะได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่ดีเกินคาดของซิตี้กรุ๊ป และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้นในสหรัฐ
สำนักข่าวเอพีรายงานนว่า ค่าเงินยูโรร่วงลง 1.17% แตะที่ 1.3024 ดอลลาร์/ยูโร จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 1.3178 ดอลลาร์/ยูโร และเงินปอนด์อ่อนตัวลง 0.92% แตะที่ 1.4785 ดอลลาร์/ปอนด์ จากระดับ 1.4923 ดอลลาร์/ปอนด์
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลง 0.02% เมื่อเทียบกับเยนที่ 99.250 เยน/ดอลลาร์ จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 99.270 เยน/ดอลลาร์ แต่พุ่งขึ้น 1.79% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 1.1672 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.1467 ฟรังค์/ดอลลาร์
ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนตัวลง 0.17% แตะที่ 0.7211 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับ 0.7199 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ร่วงลง 1.08% แตะระดับ 0.5658 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.5720 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์
ดอลลาร์สหรัฐได้รับแรงหนุนหลังจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนรายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย.ของสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับ 61.9 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.ปีที่แล้ว จากเดือนมี.ค.ที่ 57.3 จุด
นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้รับปัจจัยบวกจากซิตี้กรุ๊ปที่รายงานผลกำไรสุทธิ 1.6 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปี 2552 ซึ่งเป็นผลจากกฎการทำบัญชีแบบใหม่ที่ช่วยให้ธนาคารมีกำไรเป็นครั้งแรกหลังจากที่ขาดทุนติดต่อกัน 5 ไตรมาส จนต้องขอเงินช่วยเหลือจำนวน 4.5 พันล้านดอลลาร์จากรัฐบาลเมื่อปีที่แล้ว
ซิตี้กรุ๊ปเป็นสถาบันการเงินรายที่ 4 ที่ประกาศผลกำไรที่ดีเกินคาด โดยก่อนหน้านี้ธนาคาร เวลส์ ฟารโกที่มีกำไรสุทธิไตรมาสแรกของปีนี้พุ่งขึ้น 50% แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ราว 3 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่โกลด์แมน แซคส์ ที่รายงานผลกำไรไตรมาส 1 ปี 2552 ที่ 1.8 พันล้านดอลลาร์ หรือ 3.39 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ธนาคารรายใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐในแง่สินทรัพย์ รายงานว่าธนาคารมีกำไร 2.14 พันล้านดอลลาร์ หรือ 40 เซนต์ต่อหุ้น ลดลง 10% จากระดับ 2.37 พันล้านดอลลาร์ ยังสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้
เอ็กเซล วีเบอร์ หนึ่งในคณะกรรมการบริหารธนาคารกลางยุโรป เรียกร้องให้ทางธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ยุติการลดดอกเบี้ยในเดือนหน้า ซึ่งถือเป็นการกดดันให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายต้องเร่งแก้ปัญหาความขัดแย้งเกี่ยวกับการใช้มาตรการใหม่ๆ ในการกู้วิกฤตเศรษฐกิจ
ในการประชุมเมื่อวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา อีซีบีตัดสินใจลดดอกเบี้ยลง 0.25% แตะที่ระดับ 1.25% ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 6 ที่อีซีบีลดอัตราดอกเบี้ย จากระดับ 4.25% ในเดือนต.ค. 2551 โดยมีเป้าหมายที่จะช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ