เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) ปรับลดเป้าการขอรับส่งเสริมการลงทุนในปีนี้เหลือ 4 แสนล้านบาท จากเป้าหมายเดิมที่กำหนดไว้ 6.5 แสนล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความรุนแรงการเมืองที่เกิดขึ้นซ้ำซาก
"ภาพรวมตัวเลขขอรับการส่งเสริมการลงทุนปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 400,000 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายที่เคยตั้งไว้ 650,000 ล้านบาท เนื่องจากการชุมนุมทางการเมืองครั้งล่าสุดส่งผลลบต่อความเชื่อมั่นค่อนข้างมาก" นางอรรชกา สีบุญเรือง บริมเบิล เลขาธิการบีโอไอ กล่าว
สำหรับสถิติการขอรับส่งเสริมการลงทุนตั้งแต่เดือน 1 ม.ค.-20 เม.ย.52 ลดลง 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีมูลค่าโครงการที่ขอรับส่งเสริมการลงทุนรวม 127,300 ล้านบาท
"ทิศทางการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในไทยในส่วนที่เป็นโครงการขนาดใหญ่จะชะลอตัวลงเนื่องจากตลาดยังไม่ฟื้นตัว ดังนั้นจึงไม่คิดว่าจะมีคำขอรับส่งเสริมการลงทุนโครงการขนาดใหญ่เหมือนต้นปีที่มีการขอรับส่งเสริมการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้ามูลค่าสูงถึง 40,000 ล้านบาท" นางอรรชกา กล่าว
ทั้งนี้ บีโอไอจะเน้นการสร้างความเชื่อมั่นและเดินหน้าโรดโชว์ต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมาได้รับอนุมัติให้ตั้งสำนักงานในต่างประเทศถึง 6 แห่ง เปิดแล้ว 2 แห่งที่ไต้หวันและปักกิ่ง และปลายเดือนจะไปโรดโชว์ที่ออสเตรเลีย จากนั้นจะพิจารณาเปิดสำนักงานสาขาที่กรุงโซลประมาณเดือน มิ.ย.-พ.ค. ส่วนความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยรัฐบาลจะเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญที่สุด ขณะที่บีโอไอเป็นผู้ชี้แจงให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นต่อประเทศไทย แต่ฝ่ายการเมืองจะต้องมีความชัดเจนก่อน
เลขาธิการบีโอไอ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้อยู่ระหว่างการเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นเนื่องจากผลกระทบจากการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่ก็มีเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)เกิดขึ้นอีก ดังนั้นบีโอไอจำเป็นต้องเร่งออกไปโรดโชว์สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในประเทศและนักลงทุนใหม่
ล่าสุด บีโอไอได้ประสานความร่วมมือไปยังหอการค้าต่างประเทศเพื่อสอบถามถึงผลกระทบจากปัญหาการเมือง โดยนักลงทุนกลุ่มนี้เป็นรายใหญ่ที่มีวงเงินลงทุนตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ประมาณ 200 ราย คาดว่าจะได้ผลสรุปเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบีโอไอชุดใหญ่ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในวันพรุ่งนี้(21 เม.ย.)