ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)ในวันนี้ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุน 10 โครงการใหญ่ คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนรวม 24,426 ล้านบาท เน้นขยายกิจการสวนทางเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ
โครงการที่สำคัญ ประกอบด้วย โครงการของ บมจ.ปูนซิเมนต์นครหลวง(SCCC) โดยการขยายกิจการผลิตไฟฟ้าจากลมร้อนทิ้งของกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์ ซึ่งเป็นการนำของเสียมาใช้ให้เกิดประโยชน์ กำลังการผลิต 32 เมกะวัตต์ มูลค่าการลงทุน 1,840 ล้านบาท
บมจ.น้ำมันพืชไทย (TVO) ขยายกิจการผลิตน้ำมันถั่วเหลืองดิบ และส่วนผสมอาหารสัตว์ มูลค่าการลงทุน 3,770 ล้านบาท โดยสามารถผลิตน้ำมันถั่วเหลืองดิบ 129,200 ตันต่อปี และส่วนผสมอาหารสัตว์ 530,400 ตันต่อปี ซึ่งจะทำให้มีกากถั่วที่เหลือจากการผลิตมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ เพื่อทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ
บริษัท โรงไฟฟ้าน้ำตลาดขอนแก่น จำกัด เป็นการขยายกิจการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล 65 เมกะวัตต์ ไอน้ำ 300 ตันต่อชม. และน้ำเพื่ออุตสาหกรรม 1,230 ลบ.เมตรต่อชม. มูลค่าเงินลงทุน 1,850 ล้านบาท โดยไฟฟ้าที่ผลิตได้จะจำหน่ายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) และใช้ภายในบริษัทเอง
บริษัท เอฟแอนด์เอ็น แดรี่ส์ (ประเทศไทย )จำกัด ได้รับการส่งเสริมลงทุนเพื่อโยกย้ายสถานประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์จากนม จากจังหวัดปทุมธานีไปตั้งอยู่ที่จังหวัดอยุธยา โดยมีมูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 1,068 ล้านบาท มีกำลังการผลิตจากผลิตภัณฑ์นม Sterilized ประมาณ 82,000 ตันต่อปี นม Evaporated ประมาณ 82,000 ตันต่อปี และนม Sweet Beverage Creamer ประมาณ 97,000 ตันต่อปี เพื่อจำหน่ายในประเทศร้อยละ 70 ต่างประเทศร้อยละ 30 ของมูลค่ายอดขาย
บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ ( ประเทศไทย ) จำกัด ได้รับการส่งเสริมลงทุนเพื่อขยายกิจการ ผลิตผงชูรส มูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 5,345 ล้านบาท กำลังการผลิตประมาณ 64,000 ตันต่อปีใช้วัตถุดิบเป็นแป้งมันสำปะหลัง 84,000 ตันต่อปี ซึ่งเมื่อรวมกับความต้องการใช้แป้งมันสำปะหลังของโครงการเดิมแล้วจะสูงถึง 334,000 ตันต่อปี โดยจะจำหน่ายสินค้าในประเทศทั้งหมด เพื่อรองรับความต้องการใช้ผงชูรสในประเทศที่เติบโตต่อเนื่อง โครงการนี้คิดเป็นร้อยละ 33 ของการผลิตแป้งมันสำปะหลังที่ใช้ในประเทศ
บริษัท นวโลหะไทย จำกัด ได้รับการส่งเสริมลงทุนเพื่อขยายกิจการ ผลิตชิ้นส่วนเหล็กหล่อเช่น เสื้อสูบ ฝาครอบล้อ และเสื้อเกียร์เป็นต้น มูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 1,295 ล้านบาท กำลังการผลิตประมาณ 13,700 ตันต่อปี ใช้วัตถุดิบในประเทศ เช่น เศษเหล็ก เศษทองแดง เม็ดเหล็ก และบรรจุภัณฑ์ประมาณ 253 ล้านบาท มีเป้ามายการผลิตเพื่อป้อนตลาดรถอีโคคาร์ ที่จะเกิดขึ้นในปี 2553 -2558
บริษัท ออโต้ อินทีเรียร์ โปรดักส์ จำกัด ได้รับการส่งเสริมลงทุนเพื่อขยายกิจการ ผลิตชิ้นส่วนยางและพลาสติกขึ้นรูปสำหรับยานพาหนะ มูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 2,078.4 ล้านบาท ใช้วัตถุดิบเป็นเม็ดพลาสติกและแผ่นพีวีซี มูลค่าประมาณ 1,014.4 ล้านบาทต่อปี เพื่อป้อนการผลิตให้กับรถยนต์ขนาดเล็ก ( B-Car ) และรถ Pick-up ที่จะเริ่มผลิตประมาณปลายปี 2552 คาดว่าจะก่อให้เกิดการจ้างแรงงานไทย 558 คน
บริษัท อยุธยากล๊าส อินดัสทรี จำกัด ได้รับการส่งเสริมลงทุนผลิตขวดแก้ว มูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 3,520 ล้านบาท กำลังการผลิตประมาณ 970,000,000 ขวดต่อปี (หรือประมาณ 277,200 ตัน) เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเครื่องดื่ม ซึ่งโครงการนี้จะใช้เทคโนโลยีใหม่จากเยอรมนี ซึ่งทำให้น้ำหนักของขวดแก้วลดลงและช่วยประหยัดพลังงานที่ใช้ในการผลิต
บริษัท ยูเอสบ่อทอง อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้รับการส่งเสริมลงทุนเพื่อดำเนินกิจการแปรรูปยางรถบรรทุกที่ไม่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ กำลังการผลิตทั้งสิ้น 15,000 ตันต่อปี เงินลงทุนทั้งสิ้น 230 ล้านบาท โดยกลุ่มลุกค้าหลักจะอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตยางล้อ ผลิตสายพานทั้งในประเทศและต่างประเทศ โครงการนี้จะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม เพราะเป็นการจัดการของเสียประเภทยางรถยนต์ที่ไม่ใช้แล้ว ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากในประเทศ
สุดท้ายโครงการของ น.ส.สิริวรรณ เจียระพงษ์ ได้รับการส่งเสริมลงทุนในกิจการขนถ่ายสินค้าสำหรับเรือเดินทะเลให้บริหารขนถ่ายสารเคมีและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมเหลว ปีละประมาณ 800,000 ตัน มูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 3,430 ล้านบาท โดยจะมีการปรับปรุงพื้นที่บริเวณท่าเรือนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ประมาณ 57.8 ไร่ ก่อสร้างท่าเทียบเรือ 1 ท่า