นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ เตรียมนำเสนอคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจในสัปดาห์หน้าให้พิจารณามาตรการเร่งด่วนเพื่อกระตุ้นการส่งออกสินค้าไทยตั้งแต่ไตรมาส 2 ปีนี้ไปจนถึงสิ้นปี หรือตั้งแต่เดือน พ.ค.-ธ.ค.52 โดยจะขอให้กระทรวงการคลังคืนภาษีมุมน้ำเงิน 3-5% ให้กับผู้ส่งออกในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ รวมถึงคืนภาษีซ้ำซ้อนที่สั่งสินค้านำเข้าและขอคืนภาษีไม่ได้
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ทั้ง 3 กลุ่มสินค้ามียอดการส่งออก 40% ของการส่งออกรวมของไทย หากไม่ได้รับการช่วยเหลือการส่งออกใน 3 กลุ่มนี้จะติดลบรวมสูงถึง 30% และกระทบต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง รวมถึงแรงงานในประเทศ และคืนภาษีมุมน้ำเงินอีก 2% ให้ผู้ส่งออกในกลุ่มที่เหลือ ซึ่งมียอดส่งออก 60% ของการส่งออกรวม หากไม่ช่วยเหลือจะทำให้ยอดส่งออกในกลุ่มนี้ลดลง 5%
"การของบประมาณมากระตุ้นการส่งออกคงเป็นไปได้ยาก จึงต้องใช้มาตรการภาษีเข้าช่วย ถ้าไม่ช่วยด้วยการให้ยาแรงหรือใช้มาตรการเข้มข้น มูลค่าการส่งออกปีนี้อาจติดลบสูงถึง 15% แต่ถ้ามีมาตรการให้ภาษีมุมน้ำเงินคืนจะทำให้ยอดส่งออกกลับมาขยายตัว 0-1% บวกกับมาตรการที่กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการอยู่ จะทำให้การส่งออกปีนี้กลับมาขยายตัวได้ตามเป้าหมาย คือ 0-3%"นางพรทิวากล่าว
นางพรทิวา กล่าวว่า ภาษีมุมน้ำเงิน เป็นการจ่ายเงินชดเชยค่าภาษีอากรสำหรับสินค้าส่งออกที่ผลิตในราชอาณาจักรให้แก่ผู้ส่งออก เพื่อส่งเสริมการส่งออกและลดต้นทุนให้ผู้ส่งออก โดยได้หารือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยแล้ว ซึ่งต่างเห็นด้วยแต่ขึ้นอยู่กับกระทรวงการคลังจะเห็นด้วยหรือไม่
การคืนภาษีมุมน้ำเงินให้กับผู้ส่งออกจะลดต้นทุนผู้ส่งออกได้มาก โดยในส่วนของ 3 กลุ่มแรก รัฐจะเสียรายได้จากการคืนภาษีมุมน้ำเงิน 50,000-80,000 ล้านบาท แต่จะทำให้ส่งออกเพิ่มขึ้น 600,000 ล้านบาท ส่วนผู้ส่งออกที่เหลือ รัฐจะเสียรายได้จากการคืนภาษีมุมน้ำเงิน 48,000 ล้านบาท แต่ยอดส่งออกโดยรวมจะเพิ่มขึ้น 360,000 ล้านบาท หรือรายได้ที่รัฐจะเสียไปรวม 98,000-128,000 ล้านบาท แต่จะทำให้ส่งออกโดยรวมเพิ่มขึ้น 960,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่ามูลค่าการส่งออกที่เพิ่มขึ้นจะคุ้มกับรายได้ที่รัฐสูญเสียไปแน่นอน
"หากคลังจะขอคืนให้ในอัตราต่ำกว่าที่กระทรวงพาณิชย์ก็ไม่เป็นไร แม้จะทำให้การส่งออกไม่กลับมาเป็นบวกได้ แต่อาจส่งผลให้การส่งออกติดลบน้อยลงได้" รมว.พาณิชย์ กล่าว