นายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า เตรียมเสนอนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ถึงความจำเป็นต้องปรับลดเป้าหมายการค้าระหว่างไทย-จีน จากเดิมที่กำหนดจะผลักดันมูลค่าการค้าระหว่างกันให้เพิ่มเป็น 50,000 ล้านดอลลาร์ภายใน 5 ปี(ปี 53)และผลักดันการลงทุนสองฝ่ายเป็น 6,500 ล้านดอลลาร์ภายในปลายปี 52 เพราะขณะนี้ทั้ง 2 ประเทศได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
"ความตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อปี 48 สมัยนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นรมว.พาณิชย์ ได้ลงนามความตกลงร่วมกับมาดามอู๋อี๋ รองนายกรัฐมนตรีของจีน และจะครบกำหนดเร็วๆ นี้แล้ว ซึ่งคงต้องเลื่อนปรับเป้าหรือลดเป้าหมายมูลค่าการค้าลดลง แต่ยังไม่รู้จะเป็นเท่าไหร่ รอหารือนายกรัฐมนตรีก่อน" นายอลงกรณ์ กล่าว
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมีกำหนดจะเดือนทางไปเยือนจีนในเดือนมิ.ย. ซึ่งจะมีการหารือเรื่องการปรับเป้าหมายมูลค่าการค้าร่วมกัน นอกเหนือจากการหารือเพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุนจากจีนมาไทย โดยผลจากการจากการพลาดเป้าหมายมูลค่าการค้าทำให้คาดว่าการส่งออกของไทยในปีนี้ติดลบแน่นอน เพราะจีนเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 3 ของไทย มีสัดส่วนการส่งออกมากถึง 9% ของมูลค่าการส่งออกไทยทั้งหมด
โดยปี 51 มูลค่าการค้าระหว่าง 2 ฝ่ายอยู่ที่ 36,000 ล้านดอลลาร์เท่านั้น โดยไทยส่งออก 16,000 ล้านดอลลาร์ และนำเข้าจากจีน 20,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ไตรมาสแรกปีนี้ (ม.ค.-มี.ค.) การส่งออกไทยไปจีนลดลงอย่างมาก โดยมีมูลค่า 2,994 ล้านดอลลาร์ ติดลบ 27.6%
รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า ระหว่างวันที่ 24-27 เม.ย. จะนำคณะภาครัฐและเอกชนเดินทางไปเยือนจีน เพื่อขยายความสัมพันธ์ด้านการค้าการลงทุนกับมณฑลยูนนาน พร้อมกับชี้แจงกรณีที่รัฐบาลยกเลิก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อให้นักลงทุน นักธุรกิจและนักท่องเที่ยวจีนมั่นใจมาไทยมากขึ้น