สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบเงินปอนด์ แต่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (24 เม.ย.)
ค่าเงินดอลลาร์ร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินเยนที่ระดับ 97.07 เยน/ดอลลาร์ จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 97.78 เยน/ดอลลาร์ และดิ่งลงเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 1.1386 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.1673 ฟรังค์/ดอลลาร์
ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นแตะระดับ 1.3252 ดอลลาร์/ยูโร จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 1.3115 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่ค่าเงินปอนด์ดิ่งลงแตะที่ 1.4675 ดอลลาร์/ปอนด์ จากระดับ 1.4694 ดอลลาร์/ปอนด์
สำหรับปัจจัยที่ทำให้ยูโรพุ่งขึ้นได้แก่การที่ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนีดีดตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดในรอบ 26 ปีในเดือนเม.ย. โดยสถาบัน Ifo เผยว่า ดัชนีฯปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 83.7 จากระดับ 82.2 ในเดือนมี.ค. หลังจากที่มีการลดดอกเบี้ยและการนำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาใช้จนส่งผลให้มีการคาดการณ์ว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะคลี่คลายในปีนี้
ขณะที่เงินปอนด์ร่วงลงหลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) หดตัว 1.9% ในช่วงสามเดือนแรกของปี 2552 ซึ่งเลวร้ายกว่าระดับคาดการณ์ที่ประมาณ 1.5% และเป็นการยืนยันว่าเศรษฐกิจอังกฤษยังคงถดถอยอย่างรุนแรง โดยเศรษฐกิจของอังกฤษขยายตัวติดลบสามไตรมาสติดต่อกันแล้ว หลังจากที่หดตัว 0.6% และ 1.6% ในไตรมาส 3 และ 4 ของปี 2551 ตามลำดับ อีกทั้งตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1 ปีนี้ ยังเป็นการปรับตัวลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่ที่หดตัว 2.4% ในไตรมาส 3 ของปีพ.ศ.2522
ทั้งนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้เปิดเผยรายงานชี้แจงขั้นตอนและหลักเกณฑ์ของรัฐบาลในการทดสอบความสามารถในการรักษาฐานะทางการเงิน (stress test) ของ 19 สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ในสหรัฐ ซึ่งรวมถึง ซิตี้กรุ๊ป, อเมริกัน เอ็กซ์เพรส, แบงค์ ออฟ อเมริกา, โกลด์แมน แซคส์, เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค, มอร์แกน สแตนลีย์ และธนาคารเวลล์ส ฟาร์โก โดยนักลงทุนคลายความกังวลลงได้บ้างหลังจากที่รายงานดังกล่าวระบุว่า ธนาคารส่วนใหญ่ของสหรัฐเงินทุนในระดับเพียงพอที่จะรับมือกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากรายงานผลประกอบการบริษัทเอกชน อาทิ ฟอร์ด มอเตอร์ โค, อเมริกัน เอ็กซ์เพรส และไมโครซอฟท์ ที่ดีเกินคาด ประกอบกับข้อมูลเศรษฐกิจ ได้แก่ ยอดขายบ้านใหม่และยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนที่สร้างความหวังให้กับตลาดเช่นกัน