นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวว่า ได้เสนอให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF)และธนาคารโลก ปรับปรุงแนวทางในการกำหนดเงื่อนไขในการปล่อยกู้ให้ประเทศกำลังพัฒนามีความยืดหยุ่นและเหมาะสมมากยิ่งขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดตราบาป(Stigma)จากที่เคยเกิดขึ้นแล้วในหลายประเทศในเอเชียในช่วงวิกฤติการเงินในช่วงปี 40-41
นอกจากนั้น ยังเน้นให้ IMF และธนาคารโลกเข้าใจถึงบทบาทของความร่วมมือทางการเงินในอาเซียน+3 ที่จัดตั้งกองทุนความร่วมมือเชียงใหม่ในระดับพหุพาคี(Chiang Mai Initiative Multilateralization)ซึ่งจะสามารถร่วมมือกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคารโลกในการเสริมสร้างเสถียรภาพทางการเงินให้แก่ภูมิภาคเอเชีย
และจากการเข้าหารือกับ นาง Kathy Sierra รองประธานธนาคารโลก และผู้เชี่ยวชาญธนาคารโลก เรื่องวิธีการเสริมสร้างการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน(PPPs)เพื่อนำมาใช้สนับสนุนแนวทางการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 1.57 ล้านล้านบาทของรัฐบาล และวิธีการพัฒนาระบบประกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติ เพื่อสร้างเสถียรภาพด้านรายได้และลดภาระความเสี่ยงให้แก่เกษตรกรไทย
รวมทั้ง การใช้เงินกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีที่สะอาด(Clean Technology Fund)ของธนาคารโลก มาสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการส่งเสริมประสิทธิภาพการใช้พลังงานสะอาด เพื่อลดปัญหาสิ่งแวดล้อมและเพื่อพัฒนาขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศไทย โดยธนาคารโลก พร้อมจัดส่งคณะผู้เชี่ยวชาญในเรื่องดังกล่าวทั้งหมดมาร่วมมือกับรัฐบาลไทย
"ในช่วงที่ประเทศไทยเราประสบปัญหาเป็นช่วงที่เรายิ่งมีความจำเป็นต้องเดินหน้าชี้แจงและให้ข้อมูลต่อชาวโลก การหลีกเลี่ยงการยอบรับปัญหาจะยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นในประเทศเราลดลง" รมว.คลัง กล่าว
นอกจากนั้น รมว.คลัง ยังเปิดเผยว่า ที่ประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ผู้แทนออกเสียงในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ มองแนวโน้มเศรษฐกิจโลกว่าจะหดตัวที่ 1.3% ในปี 52 และคาดการณ์ว่าจะสามารถเริ่มฟื้นตัวอย่างช้าๆ ในปี 53 ที่คาดว่าขยายตัวได้ 1.9%