การประชุมระยะเวลา 2 วัน (28-29 เม.ย.) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ย่างเข้าสู่วันที่ 2 แล้วในวันนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed fund rate) ไว้เท่าเดิมที่ 0-0.25% ขณะเดียวกัน คณะกรรมการเฟดกำลังประเมินว่าควรใช้มาตรการเพิ่มเติมเพื่อยับยั้งภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากการแพร่ระบาดของไวรัสไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก (swine flu) หรือไม่ หลังจากที่หลายฝ่ายกังวลว่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้จะส่งผลให้เศรษฐกิจถดถอยรุนแรงขึ้น
ไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ซึ่งเริ่มแพร่ระบาดในเม็กซิโกและลุกลามเข้าไปในสหรัฐ ส่งผลให้ผู้บริโภคชาวอเมริกันหวั่นวิตกในขณะนี้ และอาจส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐหดตัวลงอีก อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณบางอย่างที่บ่งชี้ถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยเมื่อเมื่อวานนี้ สำนักงานคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยเอกชนรายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐในเดือนเม.ย.พุ่งขึ้นแตะระดับ 39.2 จุด จากเดือนมี.ค.ที่ระดับ 26.9 จุด ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 29.8 จุด
ขณะที่ ABC News เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐในรอบสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้นสู่ระดับ -45 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของปีนี้ แม้ยังคงอยู่ในระดับที่ติดลบ เมื่อเทียบกับระดับ -47 ในสัปดาห์ก่อนหน้านั้น
ไมเคิล เฟโรลี นักวิเคราะห์จากเจพีมอร์แกน อิโคโนมิกส์ กล่าวว่า "ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่พุ่งขึ้นเกินคาดในสหรัฐทำให้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่าเฟดจะคงดอกเยไว้เท่าเดิม และในขณะที่อัตราดอกเบี้ยยืนอยู่ที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์นั้น เราคาดว่าเฟดจะประเมินนโยบายคลีคลายวิกฤตการณ์การเงินที่สหรัฐกำลังเผชิญอย่างหนักหนาสาหัสที่สุดนับตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1930 การประชุมครั้งนี้ถือเป็นการประชุมครั้งสำคัญของเฟดก็ว่าได้"
ก่อนที่ไข้หวัดเม็กซิโกจะแพร่ระบาดนั้น นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐจะทุเลาลงในเร็ๆวนี้ แต่หลังจากไข้หวัดสายพันธุ์ดังกล่าวแพร่ระบาดในวงกว้าง นักวิเคราะห์เตือนว่าไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว อาหาร และการเดินทางเท่านั้น แต่จะฉุดตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคให้ทรุดตัวลงด้วย สำนักข่าวเอพีรายงาน