นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.)เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของธนาคารไตรมาส 1/52(ก่อนการรับรองงบการเงินจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน) ณ 31 มี.ค.52 ธนาคารมีกำไรสุทธิ 1,095 ล้านบาท และมีการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญจำนวน 1,243 ล้านบาท
ส่วนยอดสินเชื่อคงค้าง ณ มี.ค. 52 มีทั้งสิ้น 623,772 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.07% ด้านเงินฝากธนาคารมียอดเงินฝากรวม 515,594 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.82% มีสินทรัพย์รวม 663,637 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.59%
ไตรมาส 1/52 ธนาคารปล่อยสินเชื่อ 33,581 ราย เป็นเงิน 22,507 ล้านบาท จากเป้าสินเชื่อทั้งปี 73,500 ล้านบาท โดยมียอดสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) (ไม่รวมลูกหนี้ดำเนินคดี) จำนวน 63,321 ล้านบาท คิดเป็น 10.51% ของยอดสินเชื่อรวม ลดลง 0.14% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มีทรัพย์สินรอการขาย (NPA) คงเหลือสุทธิตามงบการเงิน 9,785 ล้านบาท ลดลง 3.87 % โดยขาย NPA ได้แล้วกว่า 390 ล้านบาท
"ธนาคารยังคงดำเนินตามแผนงานในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพย์ NPA ให้ลดลงมากที่สุด เพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้จ่าย และเสริมสภาพคล่องให้กับธนาคาร โดยมีแผนจัดประมูลขายทรัพย์ NPA เป็นประจำทุกปีๆ ละ 3 ครั้ง เพื่อเป็นทางเลือกให้ประชาชน"
กรรมการผู้จัดการ ธอส. กล่าวอีกว่า ปี 52 ธนาคารได้มีนโยบายในการติดตามดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด โดยได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งแบ่งเป็นกลุ่มลูกหนี้สวัสดิการที่มีการผ่อนชำระหนี้ปกติ แต่ได้รับความเดือดร้อนจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ ส่งผลให้ความสามารถในการชำระหนี้ลดลงหรือไม่มีความสามารถในการชำระหนี้
ธนาคารพร้อมพิจารณาขยายระยะเวลาการกู้เพื่อให้เงินงวดในการผ่อนชำระน้อยลง หรือลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ หรือให้ผ่อนเงินงวดเฉพาะดอกเบี้ยเงินกู้ประจำเดือน บวกเงินต้นประมาณ 100 บาท โดยลูกค้าต้องมีหลักฐานจากหน่วยงานเจ้าของสวัสดิการมีหนังสือถึงธนาคารมาแสดงว่ามีรายได้ลดลงจากการถูกลดวัน - เวลาทำงาน ถูกลดเงินเดือน หรือถูกเลิกจ้างงาน
ส่วนลูกค้าที่เป็น NPL ธนาคารได้มีมาตรการผ่อนปรนโดยให้ลูกค้าผ่อนชำระเงินงวดลดลงเป็นการชั่วคราว เช่น ให้ผ่อนชำระเฉพาะดอกเบี้ยเป็นการชั่วคราว ขยายระยะเวลาการกู้และคิดเงินงวดใหม่จากเงินต้นคงเหลือ การลดอัตราดอกเบี้ยเป็นกรณีพิเศษเป็นการชั่วคราวเพื่อให้ผ่อนชำระน้อยลงตามความสามารถในช่วงที่รายได้ลดลง และการปรับโครงสร้างหนี้โดยพักชำระดอกเบี้ยที่ค้างเก่า ซึ่งมาตรการดังกล่าวสามารถใช้ควบคู่กันได้