ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโรและเงินปอนด์ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (1 พ.ค.) หลังทางการสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ผันผวน ขณะที่บริษัทเอกชนต่างรายงานผลประกอบการที่ลดลง
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นแตะระดับ 1.3264 ดอลลาร์/ยูโร จากระดับเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1.3226 ดอลลาร์/ยูโร และค่าเงินปอนด์ขยายตัวแตะระดับ 1.4903 ดอลลาร์/ปอนด์ จากระดับ 1.4786 ดอลลาร์/ปอนด์
ด้านเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นแตะที่ 99.290 เมื่อเทียบกับสกุลเงินเยน จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 96.630 เยน/ดอลลาร์ และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 1.1359 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.1407 ฟรังค์/ดอลลาร์
ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียเพิ่มขึ้นแตะระดับ 0.7308 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับ 0.7251ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย และดอลลาร์นิวซีแลนด์ไต่ขึ้นแตะระดับ 0.5697 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.5650 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์
สำนักงานจัดการอุปทานเปิดเผยว่าภาวะตกต่ำในภาคอุตสาหกรรมการผลิตเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นในเดือนเม.ย. เนื่องจากดัชนีปรับตัวลดลงน้อยกว่าในเดือนก่อนหน้านี้ ขณะที่ยอดการสั่งซื้อสินค้าภาคโรงงานในเดือนมี.ค.ร่วงลงหนักกว่าคาดการณ์
ด้านมหาวิทยาลัยมิชิแกนเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นในเดือนเม.ย. ขณะที่ตลาดหุ้นทะยานขึ้นสูงสุดและทำสถิติดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 2543
ในส่วนของการรายงานผลประกอบการภาคเอกชนนั้น มาสเตอร์การ์ด อิงค์ เผยรายได้ไตรมาสแรกที่ลดลงหลังบริษัทคาดการณ์ว่ารายได้อาจซบเซาท่ามกลางความวิตกกังวลว่า กว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้อย่างมีเสถียรภาพนั้นจะยังต้องอาศัยเวลาอีกนาน ส่วนบริษัทประกันรายใหญ่สองแห่งของสหรัฐอย่างฮาร์ทฟอร์ด ไฟแนนเชียล เซอร์วิส กรุ๊ปและเมทไลฟ์ อิงค์ ต่างเผยตัวเลขขาดทุนในไตรมาสแรก ทั้งนี้ เมื่อช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา นักลงทุนมีมุมมองในแง่บวกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวดีขึ้น ซึ่งมุมมองดังกล่าวเป็นปัจจัยหนุนที่ช่วยให้ตลาดพุ่งขึ้นสดใส แต่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดกลับยังมีความผันผวนและไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน