เจ้าหน้าที่ด้านการเงินของธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) กล่าวว่า ประเทศในเอเชียต้องลดการพึ่งพาการส่งออกและหันมากระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศเพื่อบรรเทาวิกฤตความยากจน พร้อมทั้งแนะให้มีการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจด้วยการเพิ่มอุปสงค์ภายในประเทศในยามที่เศรษฐกิจเผชิญความวุ่นวาย
โดยขณะนี้เศรษฐกิจเอเชียกำลังอยู่ในภาวะชะลอตัว เนื่องจากอุปสงค์สินค้าซบเซา ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งภาวะเช่นนี้ทำให้ประชาชนราว 60 ล้านคนมีสภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ฝืดเคือง
ฮารุฮิโกะ คุโรดะ ประธานเอดีบีกล่าวในการประชุมที่อินโดนีเซียว่า ตลาดส่งออกหลักของเอเชียเผชิญกับภาวะตกต่ำทางอุปสงค์อย่างหนัก นับตั้งแต่เกิดวิกฤตตลาดปล่อยกู้จำนองในสหรัฐซึ่งส่งผลให้เกิดวิกฤตภาคธนาคารไปทั่วโลกเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบต่อการกำหนดอัตราดอกเบี้ยและทำให้ค่าเงินเอเชียอ่อนตัวลง เนื่องจากนักลงทุนโยกย้ายฐานการลงทุนออกจากกลุ่มตลาดเกิดใหม่
นายคุโรดะกล่าวว่า แผนกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนและญี่ปุ่นยังไม่เพียงพอที่จะช่วยกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ในระยะยาว แต่ชี้ว่าประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียต้องปรับสมดุลระหว่างการพึ่งความต้องการภายนอกมากเกินไป และกลับมาให้ความสำคัญมาลงทุนและกระตุ้นการอุปโภคบริโภคภายในประเทศมากยิ่งขึ้น รวมถึงชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการใช้จ่ายด้านโครงสร้างและการศึกษา รวมถึงสวัสดิการสังคมให้กับชาวเอเชีย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ยากไร้ให้มีความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม เอดีบีคาดว่าเศรษฐกิจเอเชียจะขยายตัว 3.4% เมื่อเทียบกับที่ขยายตัวได้กว่า 9% ในปี 2550
ทั้งนี้ การประชุมประจำปีของเอดีบีเปิดฉากขึ้นในวันนี้ โดยประธานาธิบดีซูสิโล บัมบัง ยุดโดโยโน เป็นประธานเปิดการประชุมในฐานะผู้นำประเทศเจ้าภาพ ท่ามกลางผู้เข้าร่วมประชุมซึ่งได้แก่รัฐมนตรีคลังและเศรษฐกิจจากชาติสมาชิก 67 ประเทศ