เคนเนธ โรกอฟฟ์ อดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ซึ่งปัจจุบันเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่ภาควิชาเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาเวิร์ด กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐจำเป็นต้องใช้มาตรการกระตุ้นการคลังต่อไปเพื่อพยุงเศรษฐกิจให้หลุดพ้นจากภาวะถดถอย
"เรากำลังมาถึงจุดที่เศรษฐกิจฟื้นตัวด้วยความยากลำบาก ซึ่งทางรัฐบาลจะต้องใช้มาตรการกระตุ้นการคลังอย่างต่อเนื่อง เรากำลังถูกกระทบอย่างหนักจากวิกฤตการณ์การเงินโลก และคาดว่าเราจะยังไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้ในอีก 2 ปีข้างหน้า เรากำลังอยู่ในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอยยาวนานและผันผวนอย่างมาก" โรกอฟฟ์กล่าวกับบลูมเบิร์ก
โรกอฟฟ์ยังกล่าวด้วยว่า เศรษฐกิจสหรัฐถดถอยรุนแรงมากเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าสหรัฐยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงต่อไป ส่วนผลทดสอบความสามารถในการรักษาฐานะทางการเงิน (stress test) ของ 19 ธนาคารยักษ์ใหญ่ในสหรัฐซึ่งจะมีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการในวันพฤหัสบดีที่ 7 พ.ค.นั้น โรกอฟฟ์มองว่าเป็นเรื่องยากที่จะตีความได้ เพราะเขาเองไม่ได้มีส่วนเข้าไปตรวจสอบงบดุลของธนาคารเหล่านี้
"เจ้าหน้าที่สหรัฐพยายามใช้ 'นโยบายเชิงจิตวิทยา' เพื่อกอบกู้ความเชื่อมั่นของนักลงทุน พวกเขาต้องการให้ประชาชนไม่วิตกกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยและสถานะทางการเงินของธนาคารภายในประเทศมากเกินไป ซึ่งความพยายามดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะสกัดกั้นการเทขายในตลาดหุ้น" โรกอฟฟ์กล่าว
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสแรกหดตัวลง 6.1% ต่อปี ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะหดตัวประมาณ 0.5-1.3% ในปีนี้ มากกว่าที่ได้มีการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะหดตัวเพียง 0.2-1.1% และคาดว่าอัตราว่างงานในสหรัฐจะพุ่งขึ้นสู่ระดับ 8.5-8.8% สูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 7.1-7.6% สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน