ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวในการสัมมนา"ไขประเด็นเศรษฐกิจ"ว่า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในระดับกลาง ๆ เมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลในภูมิภาคและประเทศคู่ค้าคู่ขาย ไม่ได้แข็งค่าหรืออ่อนค่าจนเกินไป จึงไม่ได้ทำให้ไทยเสียเปรียบในด้านการแข่งขันทางการค้าในตลาดโลก ดังนั้น ธปท.จึงยังเน้นการดูแลค่าเงินไม่ให้เคลื่อนไหวผันผวน
"REER (ดัชนีค่าเงินที่แท้จริง)เทียบกับ 2 ปีที่ผ่านมาไทยไม่ได้เสียเปรียบคู่ค้า ซึ่งแบงก์ชาติมีนโยบายดูแลเงินบาทไม่ให้ผันผวนมาก เกาะกลุ่มคู่ค้าคู่ขาย ปัจจุบันก็ทำอยู่"นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าธปท.กล่าว
ค่าเงินบาทล่าสุดเมื่อ 4 พ.ค.เทียบปลายปี 51 เงินบาทอ่อนค่าลงมาประมาณ 1% ขณะที่ค่าเงินภูมิภาคอ่อนค่าโดยเฉลี่ยประมาณ 2% ค่าเงินเปโซฟิลิปปินส์ อ่อนค่าน้อยกว่าไทยที่ประมาณ 0.5% แต่ค่าเงินริงกิตมาเลเซียอ่อนค่าลง 1.5% ดอลลาร์สิงคโปร์อ่อนค่า 2.1-2.2% แต่ค่าเงินหยวนของจีนแข็งค่า
อย่างไรก็ตาม การติดตามค่าเงินบาทไม่ควรจะให้ความสนใจแค่การเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐเพียงอย่างเดียว แต่ต้องดูประเทศคู่ค้าคู่ขายด้วย รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อในประเทศ เพราะหากเงินบาทแข็งค่าและอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง ก็จะทำให้ต้นทุนสินค้าเราสูงขึ้นด้วย
ความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทยังขึ้นกับเงินทุนไหลเข้า-ออกด้วย โดยเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ(FDI)ปีนี้คงชะลอลงตามภาวะเศรษฐกิจที่โดยเฉลี่ยลดลง 100 ล้านดอลลาร์/เดือน แต่ยังเป็นตัวเลขที่ไม่น่าตกใจมาก เพราะมีเงินทุนไหลเข้ามา 600-700 ล้านดอลลาร์ ดังนั้น หากการเมืองนิ่งและเศรษฐกิจฟื้นตัว นักลงทุนที่มีฐานการผลิตในไทยอยู่แล้วก็จะเอาเงินเข้ามาลงทุนต่อเนื่องในไทยอีก แต่หากทุกอย่างยังแย่อยู่นักลงทุนเหล่านั้นก็อาจจะย้ายฐานการผลิตไปเลย