ร.ต.หญิง ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ICT) ในฐานะประธานคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เปิดเผยความคืบหน้าการออกใบอนุญาตการประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ตามประเภทธุรกิจท้าย พ.ร.ฎ.ว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2551 ในบัญชี ค.ว่า คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาออกใบอนุญาตเพิ่มเติมอีกจำนวน 30 ราย แบ่งเป็นผู้ให้บริการที่เป็นสถาบันการเงิน 19 ราย และผู้ให้บริการที่มิใช่สถาบันการเงิน 11 ราย รวมออกใบอนุญาต 47 ฉบับ
สำหรับรายชื่อของผู้ให้บริการประเภทสถาบันการเงินที่ได้รับใบอนุญาต ได้แก่ ธนาคารคาลิยง, ธนาคารเจพีมอร์แกน เชส สาขากรุงเทพฯ, ธนาคารซิตี้แบงก์ สาขากรุงเทพฯ, ธนาคารดอยซ์แบงก์ สาขากรุงเทพฯ, ธนาคารทหารไทย, ธนาคารทิสโก้, ธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย, ธนาคารไทยธนาคาร, ธนาคารธนชาต, ธนาคารนครหลวงไทย, ธนาคารยูโอบี, ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เพื่อรายย่อย
ธนาคารสินเอเชีย, ธนาคารแห่งประเทศจีน สาขากรุงเทพฯ, ธนาคารแห่งอเมริกา เนชั่นแนล แอสโซซิเอชั่น, ธนาคารอินเดียน โอเวอร์ซีส์ สาขากรุงเทพฯ, ธนาคารเอบีเอ็น แอมโร เอ็น วี สาขาประเทศไทย, ธนาคารโอเวอร์ซี-ไชนีสแบงกิ้งคอร์ปอร์เรชั่นสาขากรุงเทพฯ และธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น
ส่วนรายชื่อของผู้ให้บริการประเภทที่ไม่ใช่สถาบันการเงินที่ได้รับใบอนุญาต ได้แก่ บมจ.เจมาร์ท, บจ.ซิตี้ คอนซูเมอร์ โปรดักส์ (ประเทศไทย), บจ.ทรู มันนี่, บมจ.ทีโอที, บมจ.บัตรกรุงไทย, บจ.ไปรษณีย์ไทย, บจ.เพย์เมนท์ โซลูชั่น 2008, บจ.โพลาร์ เว็บแอปพลิเคชั่น, บจ.ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย), บจ.อเมริกัน เอ็กซ์เพรส (ไทย) และบจ.อี-เคลียริ่ง (ไทยแลนด์)
โดยก่อนหน้านี้ คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ประกอบการไปแล้ว 16 ราย รวมใบอนุญาต 31 ฉบับ จากที่มีผู้ประกอบธุรกิจตามบัญชี ค.ได้ยื่นแบบขอรับใบอนุญาตไว้ 70 ราย รวมใบอนุญาต 109 ฉบับ ตั้งแต่วันที่ 16 มี.ค.52
ส่วนการพิจารณาออกใบอนุญาตให้กับผู้ให้บริการที่ยังเหลืออยู่นั้น เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้พิจารณาคุณสมบัติของผู้ประกอบการว่าเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดและมีความพร้อมในการให้บริการ รวมถึงมีแนวทางการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางระบบสารสนเทศในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้แล้ว ก็จะยื่นเสนอรายชื่อมายังคณะกรรมการฯ อีกครั้ง เพื่อพิจารณาให้ทันภายในวันที่ 13 พ.ค.52 ซึ่งเป็นวันครบกำหนดตามบทเฉพาะกาลที่ผ่อนผันแก่ผู้ให้บริการรายเดิมสามารถให้บริการได้ต่ออีก 120 วัน นับจากที่กฎหมายมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 14 ม.ค.52