เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า เขารู้สึกพอใจที่ธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐวางแผนเพิ่มทุนหลังจากทางการสหรัฐประกาศผลทดสอบภาวะวิกฤต (stress test) ของ 19 ธนาคารรายใหญ่ในประเทศ พร้อมกับส่งสัญญาณว่ายังมีสถาบันการเงินอีกหลายแห่งที่ต้องเข้ารับการทดสอบสถานะการเงินเพิ่มเติมเพื่อประเมินความเสี่ยง
"ธนาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะธนาคารที่ทำธุรกิจเทรดดิ้งและวาณิชธนกิจ ควรได้รับการทดสอบเพิ่มเติมเรื่องการดำเนินงาน สภาพคล่อง และความเสี่ยงที่อาจมีผลกระทบต่อชื่อเสียง ซึ่งการทดสอบในเรื่องเหล่านี้ยังไม่ได้มีการดำเนินการเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว" เบอร์นันเก้กล่าวในที่ประชุมเฟดที่รัฐจอร์เจีย
เบอร์นันเก้ยังกล่าวด้วยว่า "การทดสอบภาวะวิกฤตที่นำมาใช้ในครั้งนี้ถือเป็นแนวทางการประเมินสถานะทางการเงินและความสามารถในการต้านทานเศรษฐกิจถดถอย แต่ต้องยอมรับว่าเรายังไม่ได้ประเมินสถานะเงินทุนที่แท้จริงของสถาบันการเงินเหล่านี้"
การแสดงความคิดเห็นของเบอร์นันเก้สะท้อนให้เห็นว่า เฟดและเจ้าหน้าที่ฝ่ายกำกับดูแลด้านการเงินของสรัฐจะยังคงจับตาดูสถาบันการเงินรายใหญ่ๆอย่างใกล้ชิด รวมถึงโกลด์แมน แซคส์ และมอร์แกน สแตนลีย์ หลังจากเลห์แมน บราเธอร์สล้มละลาย และแบร์ สเติร์น ขายกิจการให้เจพีมอร์แกน
ผลทดสอบภาวะวิกฤตของ 19 สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ในสหรัฐบ่งชี้ว่า มีธนาคาร 10 แห่งที่ต้องระดมทุนเพิ่มเป็นวงเงินรวมทั้งสิ้น 7.46 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยแบงก์ ออฟ อเมริกา จำเป็นต้องเพิ่มทุนมากที่สุดที่ระดับ 3.39 หมื่นล้านดอลลาร์ ธนาคารเวลส์ ฟาร์โก ต้องเพิ่มทุน 1.37 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วน GMAC ต้องเพิ่มทุน 1.15 หมื่นล้านดอลลาร์ ซิตีกรุ๊ป อิงก์ ต้องเพิ่มทุน 5.5 พันล้านดอลลาร์ และมอร์แกน สแตนลีย์ ต้องเพิ่มทุน 1.8 พันล้านดอลลาร์
ส่วนธนาคารอีก 5 แห่งที่ต้องเพิ่มทุนได้แก่ รีเจียนส์ ไฟแนนเชียล เพิ่มทุน 2.5 พันล้านดอลลาร์ ซันทรัสต์ แบงค์ 2.2 พันล้านดอลลาร์ คีย์คอร์ป 1.8 พันล้านดอลลาร์ ฟิทธ์ เธิร์ด แบงคอร์ป 1.1 พันล้านดอลลาร์ และพีเอ็นซี ไฟแนนเชียล 600 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ ผลการทดสอบ stress test สะท้อนให้เห็นว่าวิกฤตการณ์ในภาคการธนาคารของสหรัฐยังไม่จบสิ้นลง แม้นายทิโมธี ไกธ์เนอร์ รมว.คลังสหรัฐเปิดเผยว่า ธนาคารพาณิชย์ทั้ง 19 รายใหญ่ของสหรัฐนั้น ไม่มีรายใดที่อยู่ในสภาพล้มละลายก็ตาม สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน