นักวิเคราะห์ที่สำนักข่าวบลูมเบิร์กสำรวจความคิดเห็น ได้ปรับลดคาดการณ์การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ โดยคาดว่าจะกลับมาขยายตัวได้ในปีพ.ศ.2554 ที่อัตรา 2.8% หลังจากที่ก่อนหน้านี้คาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัว 1.9% ในปี 2553 และคาดว่าอัตราว่างงานในปี 2554 จะพุ่งขึ้นแตะระดับเฉลี่ย 8.5% หลังจากพุ่งขึ้นแตะระดับ 9.6% ในปี 2553 ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้
โจชัว ชาปิโร หัวหน้านักวิเคราะห์จาก Maria Fiorini Ramirez Inc กล่าวว่า "ภาวะตึงตัวในตลาดแรงงานสหรัฐจะยืดเยื้อยาวนานออกไปอีก ซึ่งยิ่งตลาดแรงงานตึงตัวมากเท่าใด ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคก็จะยิ่งหดตัวมากขึ้น และสถานการณ์เช่นนี้จะขัดขวางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ"
"เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้าจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับคณะทำงานของบารัค โอบามา และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ต้องปล่อยเงินกู้ฉุกเฉินและใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเหมือนกับในปีที่แล้ว แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือการที่คณะทำงานถอดใจจนชะลอการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเร็วกว่าที่คาดคิด" ชาปิโรกล่าว
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขจ้างงานในเดือนเม.ย.ร่วงลง 539, 000 ตำแหน่ง ซึ่งทำสถิติลดลงน้อยที่สุดในรอบ 6 เดือน หลังจากที่เคยทรุดฮวบลง 699,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. และน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะดิ่งลง 610,000 ตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม อัตราว่างงานยังคงไต่ระดับขึ้นแตะที่ 8.9% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2526
แม้โอบามามองว่าตัวเลขจ้างงานลดลงไม่มากเท่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ภาพรวมการจ้างงานไม่ดีนักเพราะยังมีประชาชนหลายล้านคนตกงานอยู่ ทั้งนี้ โอบามาได้ทุ่มเทการทำงานในการกอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจในประเทศนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อเดือนม.ค.ที่ผ่านมา โดยเฉพาะการกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดการเงินที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากปัญหาในภาคตลาดอสังหาริมทรัพย์และตลาดสินเชื่อ
ไมเคิล เกรกอรี นักวิเคราะห์จาก BMO Capital Markets กล่าวว่า บริษัทเอกชนยังคงเลย์ออฟพนักงานและลดการใช้จ่ายเพื่อให้บริษัทยังสามารถทำกำไรได้ต่อไปหรือเพียงประคองตัวให้รอดพ้นจากการล้มละลาย ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะยังไม่ฟื้นตัวในเร็วๆนี้ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะยิ่งทำให้อัตราว่างงานในสหรัฐพุ่งขึ้นอีก และหากสภาวะในตลาดแรงงานยังคงตึงตัวก็อาจทำให้อัตราว่างงานพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 25 ปี สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน