นักวิเคราะห์ที่สำนักข่าวบลูมเบิร์กสำรวจความคิดเห็น คาดการณ์ว่า ยอดค้าปลีกประจำเดือนเม.ย.ของสหรัฐจะย่ำฐานทรงตัว หลังจากร่วงลง 1.2% ในเดือนมี.ค. เนื่องจากผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะทุเลาลงในไม่ช้านี้ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐมีกำหนดเปิดเผยยอดค้าปลีกเดือนเม.ย.ในคืนนี้ (ตามเวลาประเทศไทย)
ไมเคิล เกรกอรี นักวิเคราะห์จาก BMO Capital Markets กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวลดลง ประกอบกับภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นที่คักคักขึ้น และตัวเลขจ้างงานที่ลดลงน้อยกว่าคาดในเดือนที่แล้ว เป็นสาเหตุสำคัญที่จะทำให้ยอดค้าปลีกเดือนเม.ย.ทรงตัว และอาจทำให้ยอดค้าปลีกฟื้นตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ อย่างไรก็ตาม ยอดค้าปลีกอาจได้รับผลกระทบจากอัตราว่างงานที่มีแนวโน้มพุ่งขึ้นต่อเนื่องในอีกหลายปีข้างหน้า ซึ่งจะขัดขวางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจด้วย
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า อัตราว่างงานเดือนเม.ย.อยู่ที่ระดับ 8.9% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2526 ส่วนตัวเลขจ้างงานในเดือนเม.ย.ร่วงลง 539, 000 ตำแหน่ง ซึ่งทำสถิติลดลงน้อยที่สุดในรอบ 6 เดือน หลังจากที่เคยทรุดฮวบลง 699,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. และน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่า จะดิ่งลง 610,000 ตำแหน่ง
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ซ่า อัตราว่างงานในปี 2554 จะพุ่งขึ้นแตะระดับเฉลี่ยที่ 8.5% หลังจากพุ่งขึ้นแตะระดับ 9.6% ในปี 2553 ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยโจชัว ชาปิโร หัวหน้านักวิเคราะห์จาก Maria Fiorini Ramirez Inc กล่าวว่า "ภาวะตึงตัวในตลาดแรงงานสหรัฐจะยืดเยื้อยาวนานออกไปอีก ซึ่งยิ่งตลาดแรงงานตึงตัวมากเท่าใด ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคก็จะยิ่งหดตัวมากขึ้น และสถานการณ์เช่นนี้จะขัดขวางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ"
"เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้าจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับคณะทำงานของบารัค โอบามา และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ต้องปล่อยเงินกู้ฉุกเฉินและใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเหมือนกับในปีที่แล้ว แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือการที่คณะทำงานถอดใจจนชะลอการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเร็วกว่าที่คาดคิด" ชาปิโรกล่าว สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน