เมอร์วิน คิง ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ กล่าวว่า เศรษฐกิจของประเทศอาจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ และมีความเป็นไปได้สูงที่อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ต่ำกว่าระดับเป้าหมาย 2% ของรัฐบาล แม้ว่าคณะกรรมการกำหนดนโยบายของธนาคารเพิ่งตัดสินใจเดินหน้าโครงการผลิตธนบัตรเพิ่มก็ตาม
ผู้ว่าแบงก์ชาติอังกฤษกล่าวว่า เศรษฐกิจของประเทศที่บอบช้ำต้องอาศัยเวลาในการเยียวยารักษา การฟื้นตัวของเศรษฐกิจอังกฤษจึงมีแนวโน้มว่าจะยืดเยื้อยาวนานออกไป พร้อมกับชี้ว่า เศรษฐกิจของอังกฤษยังไม่น่าจะกลับมาขยายตัวได้จนกว่าจะถึงช่วงกลางปีหน้า ซึ่งล่าช้ากว่าที่คาดไว้ในตอนแรกว่าจะเริ่มฟื้นตัวในช่วงปลายปีนี้
ทั้งนี้ ธนาคารกลางอังกฤษคาดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จะหดตัวตลอดช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ ก่อนที่จะกลับมาฟื้นตัวขึ้นในปี 2553 ส่วนอัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงถึงระดับต่ำสุด 0.4% ในปีนี้ โดยอัตราเงินเฟ้อเดือนมีนาคมอยู่ที่ 2.9% ลดลงจากระดับสูงสุดมากกว่า 5% ในปีที่แล้ว
นายคิงกล่าวด้วยว่า ไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวเมื่อไร และเมื่อฟื้นตัวแล้วจะยั่งยืนหรือไม่
"มีเหตุผลที่เชื่อถือได้หลายประการที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวในปีหน้า แต่ก็มีเหตุผลหักล้างอีกเช่นกันว่า การฟื้นตัวนั้นจะยั่งยืนหรือไม่"
นายคิงกล่าวว่า แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและเงินปอนด์ที่อ่อนค่าอาจช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ แต่ก็ไม่ควรประมาท เนื่องจากปัญหาในภาคธนาคารยังไม่ได้รับการแก้ไขจนคลี่คลายทั้งหมด
เมื่อวันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมา ธนาคารกลางอังกฤษได้ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.5% และเพิ่มขนาดของโครงการซื้อสินทรัพย์คืนอีก 5 หมื่นล้านปอนด์ (7.54 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) รวมเป็น 1.25 แสนล้านปอนด์ โดยมีเป้าหมายเพื่อผ่อนคลายแรงกดดันต่อสภาพคล่องและเพิ่มอุปทานเงินในประเทศผ่านทางการซื้อพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชน ซึ่งจนถึงขณะนี้ ธนาคารได้ใช้เงินซื้อสินทรัพย์คืนไปแล้วราว 5.4 หมื่นล้านปอนด์ และกำลังจะใช้อีก 7.5 หมื่นล้านปอนด์ภายในเดือนมิ.ย.นี้