คณะทำงานของประธานาธิบดีบารัค โอบามา เตรียมเสนอให้มีการยกเครื่องคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ (SEC) ซึ่งครอบคลุมถึงการระบุหน้าที่อย่างชัดเจนก่อนที่จะมีการปรับโครงสร้างองค์กร SEC ในสัปดาห์หน้า ขณะที่นักวิเคราะห์บางคนมองว่าความเคลื่อนไหวของคณะทำงานโอบามามีเป้าหมายที่จะเพิ่มสิทธิอำนาจให้กับธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในการเข้ามากำกับดูแลสถาบันการเงินรายใหญ่
สแตนลีย์ สพอร์คิน อดีตหัวหน้าฝ่ายกฎหมายของ SEC แสดงความเห็นว่า ชื่อเสียงอันมัวหมองของ SEC ซึ่งมีบทบาทในการควบคุมดูแลตลาดหุ้นนิวยอร์กมากว่า 75 ปีนั้น ทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติของสหรัฐไม่สามารถนิ่งเฉยได้ โดยล่าสุดสำนักงานสืบสวนสอบสวนกลางสหรัฐ (FBI) ได้เข้ามาตรวจสอบเพื่อหาหลักฐานว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมาย 2 คนของ SEC ใช้ข้อมูลวงในเพื่อเก็งกำไรในตลาดหุ้นนิวยอร์กหรือไม่ และก่อนหน้านี้ชื่อเสียงของ SEC ได้รับความเสียหายอย่างหนักหลังจากถูกกล่าวหาว่าละเลยการตรวจสอบกองทุนแชร์ลูกโซ่ของเบอร์นาร์ด มาดอฟฟ์
วิกฤติศรัทธาที่เกิดขึ้นใน SEC บีบให้นายคริสโตเฟอร์ ค็อกซ์ ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งประธาน SEC เพื่อแสดงความรับผิดชอบ และเปิดทางให้นางแมรี่ ชาปิโร ซีอีโอคณะกรรมการกำกับดูแลอุตสาหกรรมการเงิน (FINRA) ก้าวขึ้นทำหน้าที่แทน โดยนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในฐานะประธาน SEC ของค็อกซ์ นับตั้งแต่ แบร์ สเติร์นส และเลห์แมน บราเธอร์ส ล้มละลาย และสร้างความตื่นตระหนกต่อตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลก
"ที่ผ่านมา SEC ทำงานผิดพลาดครั้งใหญ่ เพราะทำให้นักลงทุนไม่เชื่อฝีมือและขาดความเชื่อมั่นในการลงทุน" สพอร์คินกล่าว
หน้าที่หลักของ SEC คือ กำกับดูแลตลาดหุ้นนิวยอร์ก สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และตรวจสอบว่าบริษัที่นำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดมีการเปิดเผยข้อมูลการเงินอย่างถูกต้องต่อนักลงทุนหรือไม่ แต่ที่ผ่านมาแม้แต่คนวงในของ SEC กลับหละหลวมในการตรวจสอบ นอกจากนี้ SEC ยังทำงานข้ามหน้าเฟดด้วยการแทรกตัวเข้าไปตรวจสอบบริษัทหลักทรัพย์ในวอลล์สตรีทด้วยตนเอง หลังจากการล้มละลายของแบร์ สเติร์นส สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน