นักวิเคราะห์ที่สำนักข่าวบลูมเบิร์กสำรวจความคิดเห็น คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางจีนจะลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงกลางปีนี้ หลังจากดัชนีราคาผู้บริโภคและผู้ผลิตปรับตัวลดลง และหลังจากเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงในช่วงที่ผ่านมา
มาร์ค วิลเลียมส์ นักวิเคราะห์จากเครดิต สวิส กรุ๊ป เอเจีน กล่าวว่า ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ประเภท 1 ปีของจีนยืนอยู่ที่ระดับ 5.31% หลังจากธนาคารกลางจีนลดดอกเบี้ยไปแล้ว 5 ครั้งในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปีพ.ศ.2551 โดยการลดดอกเบี้ยครั้งแรกเกิดขึ้นหลังจากเลห์แมน บราเธอร์สล้มละลาย และจากนั้นธนาคารกลางก็ลดดอกเบี้ยอีก 4 ครั้ง ซึ่งนับเป็นสถิติที่ลดดอกเบี้ยมากที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์การเงินเอเชียในช่วงปีพ.ศ.2540-41
"ดัชนีราคาผู้บริโภคและผู้ผลิตปรับตัวลดลง ซึ่งหมายความว่าภาวะเงินเฟ้อในประเทศจีนลดน้อยลงแล้ว แต่ภาวะเงินฝืดอาจเข้ามาแทนี่ ซึ่งเรื่องนี้ได้สร้างความกังวลให้กับจีนเป็นอย่างยิ่ง และหากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนยังไม่ดีขึ้น ก็คาดว่าธนาคารกลางจีนจะเริ่มลดดอกเบี้ยตั้งแต่ช่วงกลางปีนี้" วิลเลียมส์กล่าว
เครดิต สวิส ระบุว่าเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของเดือนเม.ย. ขณะที่ธนาคารโลกกล่าวว่าอาจเร็วเกินไปที่จะชี้ชัดว่าเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวขึ้น เมื่อพิจารณาจากเม็ดเงินการลงทุนภาคเอกชนที่มีสัดส่วนน้อยกว่าตัวเลขการใช้จ่ายของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม จีนเป็นประเทศเดียวในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ที่ยังขยายตัวได้ โดยในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้เศรษฐกิจจีนขยายตัวที่ระดับ 6.1% แต่เป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2542
วิลเลียมส์คาดการณ์ว่าธนาคารกลางจีนจะลดดอกเบี้ยเงินกู้ 0.81% และลดดอกเบี้ยเงินฝาก 0.8% ภายในปลายปีนี้ หลังจากดัชนีราคาผู้บริโภคร่วงลงติดต่อกัน 3 เดือน และดัชนีราคาผู้ผลิตดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในเดือนเม.ย.
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวในรายงาน World Economic Outlook ว่า เศรษฐกิจโลกในปีนี้จะหดตัวลง 1.3% ซึ่งเป็นสถิติที่หดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และอาจทำให้ประชาชนทั่วโลกตกงานอีกอย่างน้อย 10 ล้านคน นอกจากนี้ IMF คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะหดตัว 2.8% ในปีนี้ ซึ่งเป็นสถิติที่หดตัวรุนแรงที่สุดในรอบ 63 ปี เศรษฐกิจญี่ปุ่นจะหดตัว 6.2% ส่วนเศรษฐกิจจีนจะขยายตัวเพียง 6.5% ในปีนี้ และเศรษฐกิจอินเดียจะขยายตัวเพียง 4.5% สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน