เคน วินด์เฮม ผู้เชี่ยวชาญด้านปริวรรตเงินตราและเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Strategic Fixed Income LLC ในสหัฐ คาดการณ์ว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะร่วงลงอีกเพราะถูกกดดันจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของรัฐบาลสรัฐและยอดขาดดุลงบประมาณที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
วินด์เฮมกล่าวว่า นักลงทุนต้องการเทขายสกุลเงินดอลลาร์และพันธบัตรสหรัฐ และหันเข้าซื้อทองคำเพื่อเก็งกำไร โดยเมื่อวานนี้ดอลลาร์ร่วงลงอย่างหนักเมื่อเทียบกับเงินเยน หลังจากรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่า เฟดเตรียมเข้าซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นเพื่อกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งหมายความว่าจะมีเม็ดเงินสกุลเงินดอลลาร์เข้าสู่ระบบการเงินสหรัฐมากขึ้น
คณะทำงานของบารัค โอบามา คาดการณ์ว่า ยอดขาดดุลการค้าของสหรัฐจะพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.84 ล้านล้านดอลลาร์ในปีนี้ และจะพุ่งขึ้นเป็น 1.26 ล้านล้านดอลลาร์ในปีหน้า เนื่องจจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยทำให้ยอดการจัดเก็บภาษีลดลงติดต่อกันยาวนานถึง 17 เดือน และทำให้รัฐบาลต้องนำเงินคงคลังออกมากระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยในเดือนก.พ.ที่ผ่านมา รัฐบาลนำเงินในคลังไปใช้ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจแล้วทั้งสิ้น 7.87 แสนล้านดอลลาร์
"รัฐบาลสหรัฐอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อกอบกู้ตลาดสินเชื่อ แต่วันหนึ่งหากรัฐบาลเกิดเปลี่ยนใจเลิกใช้นโยบายอัดฉีดเม็ดเงิน หายนะครั้งใหญ่ก็จะเกิดขึ้น และผมก็ไม่มั่นใจว่ามาตรการที่รัฐบาลสหรัฐกำลังใช้อยู่นี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง" วินด์เฮมกล่าว
วินด์เฮมยังกล่าวด้วยว่า การร่วงลงของสกุลเงินดอลลาร์จะยิ่งหนุนราคาทองคำพุ่งสูงขึ้น โดยเมื่อคืนนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย.ปิดที่ 937.40 ดอลลาร์/ออนซ์ พุ่งขึ้น 10.70 ดอลลาร์
สภาทองคำโลก (WGC) เปิดเผยว่า ปริมาณการซื้อทองคำทั่วโลกพุ่งขึ้น 38% ในไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีที่นักลงทุนซื้อทองคำเพื่อการลงทุนมากกว่าซื้อเพื่อนำไปเป็นเครื่องประดับ โดย WGC ระบุว่า ดีมานด์ทองคำไตรมาสแรกพุ่งขึ้นแตะระดับ 1,015.5 เมตริกตัน จากปีที่แล้วที่ระดับ 733.9 เมตริกตัน สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน