"กรณ์"ดัน 8 ยุทธศาสตร์พัฒนาตลาดทุนเข้มแข็งดันเข้า ครม.ศก. ก.ค.นี้

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday May 21, 2009 18:10 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนไทย ครั้งที่ 2 ได้กำหนด 8 ยุทธศาสตร์ ตามแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ปี 53-55 โดยกำหนดให้มีการจัดทำรายละเอียดต่างๆ ตามยุทธศาสตร์ 8 ด้าน เพื่อนำไปสู่การปฎิบัติในปี 53-55 เพื่อนำกลับเข้าที่ประชุมอีกครั้งในเดือน ก.ค. หลังจากนั้นจะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) เพื่อขอนุมัติในเชิงนโยบายต่อไป

"เชื่อมั่นว่า หากข้อเสนอต่างๆ สามารถนำไปสู่การปฎิบัติได้ จะทำให้ตลาดทุนไทยเข้มแข็ง เป็นที่พึ่งของผู้ประกอบการในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนต่ำ เป็นแหล่งระดมเงินออมที่มีประสิทธิภาพ สร้างโอกาสให้นักลงทุน"นายกรณ์ กล่าว

ยุทธศาสตร์ทั้ง 8 ประกอบด้วย 1.การยกเลิกการผูกขาดของตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของตลาด เป็นศูนย์รวมการระดมทุนของประเทศ 2.การเปิดเสรีและเพิ่มประสิทธิภาพ สถาบันตัวกลาง ทั้งบริษัทหลักทรัพย์ นายหน้าค้าหลักทรัพย์ เพื่อเพิ่มความสามารถการแข่งขันในอุตสาหกรรม และยกระดับคุณภาพของตลาดทุนไทย 3.การปฎิรูปกฎหมาย การพัฒนาตลาดทุน ซึ่งเกี่ยวข้องกับโครงสร้างกฎหมาย 4.การปรับปรุงระบบภาษี ที่เอื้อต่อการพัฒนาตลาดทุน

5.การพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อเป็นทางเลือกของนักลงทุนและผู้ระดมทุน 6.การจัดตั้งระบบการออมเพื่อการชราภาพเพื่อแก้ปัญหาการชราภาพในอนาคต ที่ต้องมีหลักประกันทางเศรษฐกิจมากกว่าปัจจุบัน ซึ่งมีข้อเสนอให้มีการจัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ 7.การสร้างวัฒนธรรมการลงทุนให้กว้างขวางขึ้น และ 8.การพัฒนาตลาดพันธบัตร

รมว.คลัง กล่าวอีกว่า ปัจจุบันขนาดตลาดหุ้นไทยเมื่อเทียบขนาดเศรษฐกิจแล้ว ปรับลดลงอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งยอมรับว่าต้นทุนทางการเงินของไทยยังไม่มีประสิทธิภาพเมื่อเทียบราคาหุ้น อัตราดอกเบี้ยจึงกลายเป็นข้อจำกัดของธุรกิจ ดังนั้น ในแผนยุทธศาสตร์จะมีการกำหนดขนาดของตลาด มูลค่าการลงทุนในตลาดเมื่อเทียบขนาดเศรษฐกิจ รวมถึงกำหนดเป้าหมายการเพิ่มจำนวนนักลงทุนและจำนวนบริษัทจดทะเบียน

สำหรับการปรับปรุงระบบภาษีเพื่อส่งเสริมตลาดทุนไทยนั้น ยอมรับว่าขณะนี้รัฐบาลมีการจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าหมาย แต่การปรับปรุงระบบภาษีของตลาดทุน ต้องพิจารณาภาพรวมของตลาดทุนไทย หากมีการพัฒนาให้เกิดประสิทธิภาพ เข้มแข็ง และเป็นประโยชน์อย่างยั่งยืนจะส่งผลในวงกว้างมากกว่าการสูญเสียรายได้ ซึ่งเชื่อว่าหากมีการพัฒนาตลาดทุนเป็นแหล่งระดมทุนมากขึ้น โดยมีต้นทุนที่ต่ำจะสร้างผลกำไรให้บริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้น และจะทำให้รัฐบาลจัดเก็บภาษีได้มากขึ้นตาม

ส่วนการปรับปรุงกฎหมาย หรือการออกกฎหมายใหม่ที่เกี่ยวข้องด้านตลาดทุน คณะกรรมการฯ พิจารณาว่าน่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี 52 นี้ โดยมีความตั้งใจว่าจะนำเสนอต่อรัฐบาล เพื่อให้การออกกฎหมายนำเสนอต่อที่ประชุมสภาในการเปิดประชุมสภาสมัยหน้า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ