ทิโมธี ไกธ์เนอร์ รมว.คลังสหรัฐเปิดเผยว่า คณะทำงานของประธานาธิบดีบารัค โอบามา จะพยายามดำเนินการเพื่อลดตัวเลขขาดดุลงบประมาณให้ได้ หลังจากเกิดกระแสความวิตกกังวลในวงกว้างว่าสหรัฐอาจถูกลดอันดับเครดิตเหมือนกับอังกฤษ
"เป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่งที่สภาคองเกรสและประธานาธิบดีคนปัจจุบันจะต้องกำหนดนโยบายลดยอดขาดดุลให้อยู่ในระดับที่ยั่งยืน โดยเป้าหมายในขณะนี้คือยอดขาดดุลงบประมาณควรจะถูกลดลงเหลือ 3% ของตัวเลขจีดีพี จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ที่ 12.9% ในปีนี้" ไกธ์เนอร์กลาว
ไกธ์เนอร์ยังกล่าวด้วยว่า "อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้นในปีนี้เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวขึ้น และช่วยให้ความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยบรรเทาลงด้วย โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรประเภท 10 ปีพุ่งขึ้นราว 1% ในปีนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีสัญญาณบ่งชี้ว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงของสหรัฐได้ผ่านพ้นไปแล้ว"
อย่างไรก็ตาม ไกธ์เนอร์ยอมรับว่ามีความเป็นไปได้ที่อัตราว่างงานในสหรัฐจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 10% สูงกว่า และระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะยังไม่ฟื้นตัวในเร็ววัน โดยหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของรัฐบาลสหรัฐในขณะนี้คือการสร้างเสถียรภาพในตลาดการเงินและลดอัตราว่างงาน กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยเมื่อคืนนี้ว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ขอรับสวัสดิการในระหว่างว่างงานลดลง 12,000 รายในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 16 พ.ค. สู่ระดับ 631,000 ราย เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้านี้ที่ 643,000 ราย อย่างไรก็ตาม จำนวนชาวอเมริกันที่ว่างงานยังคงอยู่ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
บิล กรอส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทแปซิฟิก อินเวสท์เมนท์ เมเนจเมนท์ (PIMCO) ซึ่งเป็นกองทุนลงทุนในตราสารหนี้รายใหญ่ที่สุดในโลก กล่าวว่า ค่าเงินดอลลาร์ ตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรนิวยอร์ก ร่วงลงถ้วนหน้า หลังจากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) ปรับลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือที่ระดับ AAA ของอังกฤษ ลงสู่ "เชิงลบ" จากเดิม "มีเสถียรภาพ" เนื่องจากภาระหนี้สินของอังกฤษที่เพิ่มขึ้น ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนกังวลว่าสหรัฐซึ่งเป็นชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเช่นเดียวกับอังกฤษ อาจถูกลดอันดับเครดิตด้วยเช่นกัน
"แม้อันดับเครดิตของสหรัฐไม่มีแนวโน้มที่จะถูกปรับลดแบบชั่วข้ามคืน แต่นักลงทุนส่วนใหญ่เชื่อว่ามีความเป็นไปได้" กรอสกล่าว สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน