นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.) เปิดเผยว่า ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 มี.ค.52 มีจำนวน 3,692,693 ล้านบาท หรือ 40.97% ของ GDP ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนจำนวน 83,868 ล้านบาท
ทั้งนี้แยกเป็น หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 2,364,783 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 77,841 ล้านบาท, หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน 1,013,856 ล้านบาท ลดลง 11,395 ล้านบาท, หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกัน 200,113 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17,684 ล้านบาท, หนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 110,258 ล้านบาท ลดลง 262 ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ 3,683 ล้านบาท ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
สาเหตุการเพิ่มขึ้นสุทธิของหนี้สาธารณะคงค้างเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนที่ผ่านมาที่สำคัญเกิดจากการเพิ่มขึ้นของหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง และหนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกัน โดยหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรงเพิ่มขึ้นสุทธิ 77,841 ล้านบาท รายการที่สำคัญเกิดจากการออกตั๋วเงินคลังจำนวน 104,000 ล้านบาท โดยเป็นการใช้วงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณในปีงบประมาณ 2552 จำนวน 48,000 ล้านบาท และรัฐบาลได้ทำการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณจำนวน 39,000 ล้านบาท
ส่วนหนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกันเพิ่มขึ้นสุทธิ 17,684 ล้านบาท รายการที่สำคัญเกิดจากการเพิ่มขึ้นของหนี้ในประเทศของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกัน โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.)ได้เบิกจ่ายเงินกู้ระยะสั้นจำนวน 16,000 ล้านบาท
และหนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกันลดลงสุทธิ 11,836 ล้านบาท ที่สำคัญเกิดจากการลดลงของหนี้ในประเทศและหนี้ต่างประเทศ โดยหนี้ในประเทศที่ลดลงรายการสำคัญเกิดจาก บมจ.ปตท.(PTT) ไถ่ถอนพันธบัตรจำนวน 3,800 ล้านบาท และหนี้ต่างประเทศที่ลดลงรายการสำคัญเกิดจากการชำระคืนต้นเงินกู้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน
สำหรับหนี้สาธารณะจำนวนดังกล่าว แยกเป็นหนี้ต่างประเทศ 384,941 ล้านบาท หรือ 10.42% และหนี้ในประเทศ 3,307,752 ล้านบาท หรือ 89.58% ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง และเป็นหนี้ระยะยาว 3,333,881 ล้านบาท หรือ 90.28% และหนี้ระยะสั้น 358,812 ล้านบาท หรือ 9.72% ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง