สัญญาถั่วเหลืองล่วงหน้ามีแนวโน้มไต่ขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 14 ดอลลาร์/บุชเชลในเดือนต.ค.นี้ จากภาวะอุปทานตึงตัวอันเป็นผลจากการที่บราซิลเพิ่มอัตราการใช้ถั่วเหลืองในการผลิตพลังงาน ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นให้ราคาน้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันปาล์มปรับตัวสูงขึ้น
โดราบ มิสทรี ผู้อำนวยการบริษัท Godrej International Ltd. คาดว่า หลังจากช่วงเดือนก.ค.ไปแล้ว บราซิลจะไม่สามารถส่งออกน้ำมันถั่วเหลืองได้ตามปกติ ซึ่งจะทำให้ปริมาณผลผลิตถั่วเหลืองในตลาดโลกมีจำนวนลดลง ซึ่งจะทำให้เรามีผลผลิตถั่วเหลืองในปริมาณที่ไม่แน่นอนจากอาร์เจนตินาและสหรัฐ
"บราซิลเพิ่งประกาศใช้ข้อบังคับด้านการผลิตน้ำมันไบโอดีเซลเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4% จากเดิมที่ 3% ซึ่งทำให้มีปริมาณน้ำมันถั่วเหลือหมุนเวียนในตลาดโลกลดลงไปถึง 400,000 ตัน" มิสทรี้กล่าว โดยเมื่อวันที่ 1 ส.ค. ราคาถั่วเหลืองซื้อขายที่เหนือระดับ 14 ดอลลาร์/บุชเชล และวันนี้ราคาถั่วเหลือซื้องขายที่ 11.8475 ดอลลาร์/บุชเชล
ทั้งนี้ ราคาถั่วเหลืองที่ตลาด CBOT ในปีนี้พุ่งขึ้นแล้ว 21% เช่นเดียวกับราคาพืชที่ให้น้ำมันซึ่งปรับตัวสูงขึ้นในปีนี้เนื่องจากเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง
ด้านสัญญาน้ำมันถั่วเหลืองล่วงหน้าซึ่งเทรดกันที่ 37.7 เซนต์/ปอนด์อาจเพิ่มขึ้นมาเคลื่อนไหวในกรอบ 42-50 เซนต์ไม่เดือนส.ค.ก็เดือนต.ค. ขณะที่สัญญาน้ำมันปาล์มล่วงหน้าในมาเลเซียจะเพิ่มขึ้นแตะที่ 3,000 ริงกิต (851 ดอลลาร์) ต่อเมตริกตันภายใน 1 เดือนและวันนี้ราคาสัญญาน้ำมันปาล์มเทรดที่ระดับ 2,458 ริงกิต
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า รัฐบาลทั่วโลกรวมถึงในยุโรปต่างกำหนดข้อบังคับในการใช้พลังงานชีวภาพเพื่อเพิ่มผลผลิตด้านพลังงาน แต่การใช้พืชที่สามารถบริโภคได้มาแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงได้จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่านโยบายดังกล่าวจะกระตุ้นให้ราคาอาหารแพงขึ้น ซึ่งจะสร้างความเดือดร้อนให้กลุ่มคนยากจนดังจะเห็นได้จากปีก่อนที่ราคาถั่วเหลือง ข้าวโพด และข้าวสาลีพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ขณะเดียวกันมีการคาดการณ์ว่า เกษตรกรชาวอาร์เจนติน่าอาจเก็บเกี่ยวผลผลิตถั่วเหลืองได้ 32.8 ล้านตันเมื่อเทียบกับที่เก็บเกี่ยวได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 48 ล้านตันในปีที่แล้ว ขณะที่สต็อกถั่วเหลืองของสหรัฐในรอบ 12 เดือนอาจเหลือเพียง 3.53 ล้านตัน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี