สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (28 พ.ค.) เพราะได้รับแรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์ที่ร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโร และราคาน้ำมันดิบ NYMEX ที่พุ่งขึ้นทะลุระดับ 65 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) มีมติคงโควต้าการผลิตน้ำมันในการประชุมเมื่อวานนี้
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.ปิดบวก 8 ดอลลาร์ แตะที่ 963.20 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 945.80-966.70 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ค.ปิดที่ 15.160 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 29.50 เซนต์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนก.ค.ปิดบวก 1.6 เซนต์ ปิดที่ 2.1370 ดอลลาร์/ปอนด์
ส่วนสัญญาพลาตินัมเดือนก.ค.ปิดที่ 1,149.80 ดอลลาร์/ออนซ์ พุ่งขึ้น 8.70 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมเดือนก.ย.ปิดที่ 233.50 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 5.90 ดอลลาร์
ไบรอิน ฮิคส์ นักวิเคราะห์จาก U.S. Global Investors คาดการณ์ว่า ราคาทองคำมีแนวโน้มพุ่งขึ้นทดสอบแนวต้านที่ระดับ 1,000 ดอลลาร์ในระยะใกล้นี้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนและไร้ทิศทางทำให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง นอกจากนี้ ทองคำยังได้แรงหนุนจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจเผชิญภาวะเงินเฟ้อรุนแรงเนื่องจากรัฐบาลและธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงินจำนวนมาก
เมื่อไม่นานมานี้ มาร์ค ฟาเบอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนชื่อดังระดับโลกและเป็นผู้ตีพิมพ์นิตยสารการลงทุน Gloom, Boom and Doom Report คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะเงินเฟ้อรุนแรง หรือ hyperinflation เนื่องจากเฟดปล่อยให้อัตราดอกเบี้ยเคลื่อนไหวอยู่ในระดับต่ำนานเกินไปและยังไม่มีแผนที่จะขึ้นดอกเบี้ย