ตลาดรถสหรัฐในเดือนพ.ค.มีแนวโน้มที่จะหดตัวลง 35% หลังจากที่บริษัทรถที่เคยอยู่ในสังกัดบิ๊กทรีอย่างไครสเลอร์ล้มละลาย และต้องปิดโรงงานและยกเลิกดีลเลอร์ไปในขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์สหรัฐเข้าสุ่ช่วงเวลาที่ย่ำแย่ที่สุด นับตั้งแต่ปี 2519
นักวิเคราะห์ที่บลูมเบิร์กได้สำรวจความคิดเห็นคาดการณ์ว่า ยอดขายรถร่วงลงมาอยู่ที่ 9.2 ล้านคันในสหรัฐเมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา จากระดับปีที่แล้วที่ 14.2 ล้านคัน ส่วนยอดขายของไครสเลอร์อาจจะร่วงถึง 51% ส่วนยอดขายของบริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (GM) ซึ่งมีจะยื่นล้มละลายในวันนี้นั้น อาจจะร่วงลง 37%
ยอดขายรถเดือนพ.ค.ในระดับดังกล่าวถือเป็นสถิติที่ลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ที่ยอดขายได้ต่ำกว่า 10 ล้านคัน และยังเป็นสถิติที่ร่วงลงมากที่สุดในรอบ 33 ปี ขณะที่อัตราว่างงานสหรัฐก็อยู่ในระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2536 ซึ่งสถานการณ์การยื่นล้มละลายของไครสเลอร์และจีเอ็มที่จะเดินตามรอยไครสเลอร์นั้น ทำให้กลุ่มผู้ซื้อรถไม่สนใจที่จะซื้อรถเท่าใดนัก
เจฟ ชูสเตอร์ นักวิเคราะห์ด้านยอดขายรถของเจ.ดี. พาวเวอร์ แอนด์ แอสโซซิเอทส์ กล่าวว่า ธุรกิจรถยังต้องเผชิญกับความลำบากต่อไปอีก และยังมีประเด็นอีกมากที่ต้องสะสางทั้งจากประเด็นในด้านเศรษฐกิจและความรู้สึกที่ไม่แน่นอนของผู้บริโภค
จีเอ็ม ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถรายใหญ่สุดของสหรัฐ และไครสเลอร์ ค่ายรถอันดับ 3 ของสหรัฐ เริ่มรับเงินกู้ฉุกเฉินจากรัฐบาลเมื่อเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว ขณะที่บริษัทเดินหน้าเพื่อปรับโครงสร้างธุรกิจ แต่ต่อมาไครสเลอร์ก็ไม่สามารถยืนต่อไปได้ ต้องยื่นล้มลายเมื่อวันที่ 30 เม.ย.ที่ผ่านมา และจีเอ็มก็จะยื่นล้มละลายในวันที่ 1 มิ.ย.เช่นกัน
เจสซี โทปรัค ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ของบริษัทวิจัยยานยนต์อย่าง Edmunds.com กล่าวว่า หลังจากที่สถานการณ์คลี่คลายลงแล้ว เราอาจจะได้เห็นยอดขายรถในสหรัฐปรับตัวขึ้นมาอยู่เหนือระดับ 10 ล้านคันได้ หลังจากที่ยอดขายรถในสหรัฐตั้งแต่เดือนม.ค.มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เพราะความไม่แน่นอนในตลาดเกี่ยวกับสถานะของไครสเลอร์และการล้มละลายของจีเอ็ม