ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ เห็นชอบให้เปิดตลาดการนำเข้าปาล์มน้ำมันได้โดยเสรีตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.53 ซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน(อาฟต้า) อีกทั้งในฐานะที่ไทยเป็นประธานอาเซียนควรเคารพกฎกติกาตามที่ได้ทำข้อตกลงกันไว้แล้ว
"ในฐานะประธานอาเซียนก็ต้องทำตามกรอบข้อตกลงให้ชัดเจนและไม่บิดพลิ้ว ไม่เช่นนั้นจะทำให้ประเทศอื่นที่เป็นสมาชิกถอนตัวออกไป และหากไม่ปฎิบัติตามข้อตกลงก็ต้องมีการเจรจา เชื่อว่าต้องใช้เวลากว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจน" นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ กล่าว
ที่ประชุมฯ ได้อภิปรายกันมากเกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อตกลงของอาฟต้าที่กำหนดให้นำเข้าปาล์มน้ำมันได้โดยไม่ต้องเสียภาษี จากปัจจุบันจัดเก็บอยู่ในอัตรา 5% เพราะเกรงว่าอาจส่งผลกระทบต่อเกษตรกรและผู้ประกอบการในประเทศ ซึ่งนายสุเทพได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับไปรวบรวมรายละเอียดทั้งหมด ตลอดจนแนวทางการแก้ไขปัญหา อุปสรรค รวมไปถึงการดำเนินการหลังเปิดเสรีให้ชัดเจนภายใน 15 วัน แล้วนำกลับมาเสนอให้ที่ประชุมฯ พิจารณาอีกครั้ง
ทั้งนี้ เมื่อมีการเปิดเสรีนำเข้าน้ำมันปาล์มแล้วไทยอาจใช้มาตรฐานการนำเข้าสินค้าของกระทรวงสาธารณสุขเข้ามาควบคุมแทน หรืออาจกำหนดให้การนำเข้ามาต้องเพื่อการบริโภคเท่านั้นและบรรจุในภาชนะมิดชิด ขนาดบรรจุไม่มากกว่า 1 ลิตรต่อขวด รวมถึงการให้กระทรวงพาณิชย์ประกาศใช้มาตรการปกป้องพิเศษหากมีการนำเข้ามามากจนผิดปกติ เป็นต้น ซึ่งการเปิดเสรีครั้งนี้หากมีการใช้อย่างรอบคอบและเป็นระบบจะช่วยปกป้องภาคผลิตภายในประเทศได้ โดยปัจจุบันมีเกษตรกรที่เกี่ยวข้องจำนวน 2 แสนครัวเรือน โรงงานสกัดและโรงกลั่นน้ำมันรวม 65 โรง และช่วยให้ไม่ต้องเลิกจ้างแรงงานจำนวน 25,000 คนด้วย
นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังมอบหมายให้กระทรวงพลังงานเร่งจัดทำแผนการพัฒนาน้ำมันไบโอดีเซลให้ชัดเจน เพื่อจะได้วางกรอบและยุทธศาสตร์ให้ได้ประสิทธิภาพและคุ้มค่ากับการลงทุนมากที่สุด เพราะขณะนี้มีภาคเอกชนเป็นจำนวนมากที่มีความพร้อมในการผลิตไบโอดีเซล ชนิด บี 5 แต่ยังมีปัญหาเรื่องวัตถุดิบไม่เพียงพอ