นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ"โอกาส...ประเทศไทย"โดยระบุว่า ประเทศไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดของเศรษฐกิจไปแล้วในไตรมาส 1/52 หลังจากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(GDP) ติดลบต่อเนื่องกันมา 2 ไตรมาส ซึ่งจากนี้ไปเชื่อว่าจะเริ่มเห็นสัญญาณทางเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้น
แต่อย่างไรก็ดี จากปัญหาภาวะเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทย ทั้งภาคการผลิต การจ้างงาน และกำลังซื้อในประเทศ แม้เศรษฐกิจโลกจะเริ่มมีสัญญาณการผลิตที่ดีขึ้นที่อาจส่งผลดีต่อการส่งออกและท่องเที่ยวไทย แต่ในภาคสถาบันการเงินของสหรัฐฯ นั้นยังไม่คลี่คลาย เนื่องจากการปล่อยสินเชื่อยังอยู่ในระดับต่ำ และอนาคตเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ(FED) จะต้องพิมพ์ธนบัตรเพิ่มเพื่ออัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ ซึ่งจุดนี้จะส่งผลทางลบทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง และเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น
รมว.คลัง มองว่า ขณะนี้ยังมีปัญหาท้าทายอีกด้าน คือ ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่แนวโน้มเริ่มปรับสูงขึ้นหลังภาคการผลิตเริ่มฟื้นตัว ซึ่งจะเป็นแรงกดดันต่อเศรษฐกิจไทย แต่ยอมรับว่าขณะนี้ภาคเอกชนยังไม่พร้อมจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยสภาพคล่องในระบบยังคงล้นตลาด
ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องมีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชน ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ในวงเงิน 1.5 ล้านล้านบาท โดยคาดว่าการอัดฉีดเม็ดเงินจำนวนนี้จะคิดเป็น 17% ของจีดีพี ซึ่งส่งผลต่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจทั้งระยะสั้น และระยะปานกลาง สร้างโอกาสการเพิ่มรายได้ให้ประชาชน และเกิดการจ้างงานมากขึ้น ซึ่งแม้การกู้เงินดังกล่าวของรัฐบาลจะทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นเป็น 60% ของจีดีพี แต่ยังเป็นระดับที่ยอมรับได้ เพื่อให้รัฐบาลมีเงินงบประมาณในการดูแลเศรษฐกิจของประเทศไม่ให้ชะงักงัน