นางอรรชกา สีบุญเรือง บริมเบิล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) กล่าวว่า ยอดการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้(ม.ค.-พ.ค.52) มีมูลค่าประมาณ 1.66 แสนล้านบาท ลดลง 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ปริมาณคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนลดลงถึง 27%
โดยอุตสาหกรรมที่ยังมีการขอรับการส่งเสริมอยู่ คือ อุตสาหกรรมเกี่ยวกับพลังงานทดแทน อุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐาน โดยส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนในประเทศ เพราะนักลงทุนต่างประเทศได้ชะลอการลงทุนเพราะได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ ทั้งนี้มั่นใจว่าในปีนี้ยอดการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจะอยู่ที่ประมาณ 4 แสนล้านบาท หลังจากได้ปรับลดเป้าลงมาจาก 6 แสนล้านบาท
"ช่วงครึ่งปีหลังเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ทำให้นักลงทุนกล้าลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ อาหาร รถยนต์ ประกอบกับ บีโอไอ ได้มีการโรดโชว์ และให้สิทธิพิเศษสำหรับนักลงทุนที่จะยื่นคำขอก่อนสิ้นปีนี้" นางอรรชกา กล่าว
เลขาธิการบีโอไอ กล่าวว่า อีกสาเหตุหนึ่งที่คาดว่าปีนี้ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนจะไม่สูงมากนัก เนื่องจากโครงการเหล็กต้นน้ำที่ผู้ผลิตเหล็ก 4 รายใหญ่ของโลกสนใจจะลงทุนตั้งโรงงานถลุงเหล็กในประเทศไทยไม่สามารถที่จะยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนได้ทันในปีนี้ เนื่องจากยังไม่สามารถจัดหาพื้นที่ในการก่อสร้างโครงการได้ ซึ่งในเรื่องการจัดหาพื้นที่ทางสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าเป็นผู้ศึกษาในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามยังไม่มีผู้ผลิตรายใดที่จะถอนตัวจากการลงทุนในโครงการเหล็กต้นน้ำ