นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้เห็นชอบการปรับปรุงเงื่อนไขและราคาจำหน่ายในกิจการที่อยู่อาศัย สำหรับผู้มีรายได้น้อยหรือปานกลางหรือบ้านบีโอไอ เพื่อให้การส่งเสริมการลงทุนในกิจการดังกล่าวเข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน และเป็นการกระตุ้นให้ผู้ประกอบการสนใจในการลงทุนพัฒนาที่อยู่อาศัยประเภทดังกล่าวได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ตั้งโครงการในเขตกรุงเทพและปริมณฑล
การปรับเงื่อนไข และราคาจำหน่ายการส่งเสริมกิจการบ้านบีโอไอ ประกอบด้วย กำหนดเงื่อนไขของผู้ประกอบการที่จะต้องจัดที่อยู่อาศัยไม่น้อยกว่า 50 หน่วยสำหรับทุกเขต โดยโครงการที่ตั้งในเขต 1 กรณีการก่อสร้างอาคารชุด จะต้องมีพื้นที่ใช้สอย/หน่วยไม่น้อยกว่า 28 ตารางเมตร และจำหน่ายในราคาหน่วยละไม่เกิน 1 ล้านบาท(รวมค่าที่ดิน) จากเดิมราคาไม่เกิน 6 แสนบาท กรณีการก่อสร้างบ้านแถวหรือบ้านเดี่ยวจะต้องมีพื้นที่ใช้สอยต่อหน่วยไม่น้อยกว่า 70 ตารางเมตร และจำหน่ายในราคาหน่วยละไม่เกิน 1.2 ล้านบาท(รวมค่าที่ดิน)
สำหรับโครงการที่ตั้งในเขต 2 และเขต 3 ยังคงเงื่อนไขเดิม คือ จะต้องมีพื้นที่ใช้สอย/หน่วยไม่น้อยกว่า 31 ตารางเมตร และจำหน่ายในราคาหน่วยละไม่เกิน 6 แสนบาท (รวมค่าที่ดิน)
"จากการประเมินแล้วพบว่า การดำเนินกิจการในพื้นที่เขต 1 มี ต้นทุนหลัก จากที่ดินและวัสดุก่อสร้าง ซึ่งคิดเป็น 70-80%ของต้นทุนการผลิต รวมถึงค่าจ้างแรงงานปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจริง จึงเห็นชอบในราคาจำหน่ายให้สอดรับกับสถานการณ์ได้ ซึ่งจะช่วยทำให้ผู้มีรายได้น้อยมีบ้านในเขตเมือง ช่วยลดภาระการเดินทาง ทำให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น แต่ในส่วนที่อยู่อาศัยในเขต 2 และ 3 เห็นว่า ยังไม่จำเป็นต้องปรับราคาเพราะค่าที่ดินยังปรับสูงขึ้นน้อยกว่า เขต 1 และยังมีโครงการที่จำหน่ายบ้านในราคาไม่เกินหกแสนบาทได้" นายชาญชัยกล่าว
สำหรับโครงการบ้านบีโอไอได้เปิดให้มีการส่งเสริมมาตั้งแต่ปี 2536 โดยมีเงื่อนไขที่กำหนดให้ผู้ประกอบการจะต้องจัดที่อยู่อาศัยไม่น้อยกว่า 150 หน่วย สำหรับในเขต 1 และไม่น้อยกว่า 75 หน่วย สำหรับในเขต 2 และเขต 3 รวมถึงกำหนดให้มีพื้นที่ใช้สอย/หน่วยต้องไม่น้อยกว่า 31 ตารางเมตร มีราคาจำหน่ายไม่เกินหน่วยละ 6 แสนบาท(รวมค่าที่ดิน) เพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลล่าสุดนับตั้งแต่ปี 2543 จนถึงปัจจุบัน (มี.ค.52) มีโครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 185 โครงการ ซึ่งแนวโน้มพบว่าโครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนมีทำเลตั้งอยู่ในเขต 1 มากที่สุด