นายพรชัย รุจิประภา ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้าการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ว่า ขณะนี้ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานออกประกาศเรื่องการขอรับเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงชดเชยภาระภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV(Flexible Fuel Vehicle)อัตรา 3% ตั้งแต่ 5 มิ.ย.52 และมีผลปฏิบัติแล้ว ทำให้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์สามารถเข้าร่วมโครงการได้ทันทีตามที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.)ได้อนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง วงเงิน 357 ล้านบาท ชดเชยภาษีสรรพสามิต 3%
"เช่น ภาษีสรรพสามิตรถยนต์ที่เก็บอัตรา 25% กระทรวงพลังงานจะชดเชยให้ 3% ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ FFV รับภาระภาษีสรรพสามิตเหลือ 22% ทำให้ผู้บริโภคซื้อรถยนต์ FFV ถูกลงหลายหมื่นบาทจนถึงหลักแสนบาทต่อคันตามราคารถยนต์" นายพรชัย กล่าว
ทั้งนี้ เป้าหมายในการส่งเสริม E85 ครั้งนี้ จะใช้เงินจำนวน 352.5 ล้านบาท สำหรับรถยนต์ FFV นำเข้าขนาดไม่เกิน 2,500 ซีซี จำนวน 2,000 คันจนถึงสิ้นปี 52 และรถยนต์ FFV ที่ผลิตในประเทศจำนวนไม่จำกัด จนถึงสิ้นปี 53 ส่วนวงเงินที่เหลือ 4.5 ล้านบาทจะเป็นงบในการบริหารงาน เป็นการจ้างที่ปรึกษาเพื่อมาตรวจสอบ ประเมินผล ติดตามงานให้เกิดผลสำเร็จ
นายพรชัย กล่าวอีกว่า การทดสอบรถยนต์เพื่อตรวจสอบหาสารมลพิษที่อาจเกิดจากการใช้รถยนต์ FFV นั้น จะทำการทดสอบโดยใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 หลังจากที่กระทรวงพลังงานได้หารือกับนักวิชาการและหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญแล้ว มีความเห็นตรงกันว่าการใช้น้ำมัน E85 มาทดสอบมลพิษกับรถยนต์ FFV เป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้ว และสูงกว่ามาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(มอก.)ในปัจจุบันแล้วที่ระบุให้ทดสอบกับน้ำมันเบนซินปกติจึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องทดสอบกับน้ำมันทุกชนิด เพราะเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายและทำให้ราคารถสูงขึ้นโดยไม่จำเป็น
ทั้งนี้ กระทรวงพลังงาน ได้สนับสนุนแก๊สโซฮอล์ E85 โดยตั้งเป้าให้มีรถ FFV ในประเทศ 1 ล้านคันในปี 61 ซึ่งแผนนี้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยรวมเป็นเงิน 447,377 ล้านบาท ทั้งยังช่วยเหลือเกษตรกรที่ปลูกพืชพลังงานที่มีมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจสูง โดยเฉพาะ เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยและมันสำปะหลัง เนื่องจากพืชทั้งสองชนิดเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเอทานอล