นายณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานคณะกรรมการ บลจ.เอ็มเอฟซี(MFC)และ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย(ธสน.) สนับสนุนแนวคิดการนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศออกมาใช้ลงทุนเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ โดยเห็นว่าระดับทุนสำรองที่เหมาะสมกับประเทศไทยน่าจะอยู่ที่ประมาณ 8-9 หมื่นล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันที่สูงถึง 1.2 แสนล้านดอลลาร์ จึงมีวงเงินที่น่าจะนำออกมาลงทุนได้ประมาณ 2-3 หมื่นล้านดอลลาร์
การลดปริมาณทุนสำรองฯ ของประเทศลงจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดแรงกดันที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า ซึ่งจากการประเมินในเบื้องต้นคาดว่าปริมาณทุนสำรองระหว่างประเทศในช่วงสิ้นปีนี้จะปรับตัวสูงขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง โดยอาจสูงไปถึง 1.4 แสนล้านดอลลาร์ จากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มขึ้น ดังนั้น ก็จะเป็นการเพิ่มแรงกดดันต่อค่าเงินบาทเพิ่มขึ้นไปอีก โดยปลายปีอาจเห็นเงินบาทแข็งค่าที่ 33 บาท
นายณรงค์ชัย ยังเชื่อว่า ธปท.สามารถนำทุนสำรองฯ ออกมาใช้ลงทนได้โดยไม่จำเป็นต้องรอการแก้ไขกฎหมาย โดย ธปท. สามารถใช้อำนาจของคณะกรรมการ ธปท.บริหารเงินสำรองระหว่างประเทศนำเงินมาลงทุนในโครงการที่ต้องการใช้เงินตราต่างประเทศ หรือเป็นการลงทุนในพันธบัตรสกุลต่างประเทศที่ออกโดยกระทรวงการคลังหรือรัฐวิสาหกิจได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องเสียหาย
"บอร์ดธปท.มีอำนาจในการนำ Reserve ออกมาลงทุนโดยไม่ต้องแก้ไขกฏหมาย ซึ่งสูตรปกติ Reserve ควรจะอยู่ที่ประมาณเทียบเท่า 6 เดือนของมูลค่าการนำเข้า และเพียงพอต่อการชำระหนี้ระยะสั้น ดังนั้น จริงๆ Reserve ควรจะอยู่ที่ 8-9 หมื่นล้านดอลล์เท่านั้น" นายณรงค์ชัย กล่าว