ธนาคารโลกได้ยกระดับคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนปีนี้ขึ้นเป็น 7.2% จากระดับคาดการณ์เดิมเมื่อเดือนมี.ค.ที่ 6.5% เนื่องจากนโยบายการเงินและกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และยังได้แนะให้จีนชะลอการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในปีนี้ โดยชี้ว่ามาตรการเหล่านั้นอาจจำเป็นต้องไปใช้ในปีหน้ามากกว่า เนื่องจากการบริโภคยังคงมีแนวโน้มที่จะชะลอตัว ส่งผลให้ค่าแรงและการจ้างงานลดลง
ธนาคารโลกได้ระบุในรายงานว่า ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะบอกได้ว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนจะเกิดขึ้นอย่างยั่งยืนหรือไม่ เพราะการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนปีนี้ส่วนหนึ่งมาจากการใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
รายงานของธนาคารโลกระบุว่า แนวโน้มของการขยายตัวโดยรวมปรับตัวดีขึ้นในระดับหนึ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่แล้ว แต่คาดว่าจะเป็นเช่นนี้ไปจนถึงปีหน้า มาตรการกระตุ้นภาคการเงินในช่วง 5 เดือนแรกจะช่วยส่งเสริมให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อไปได้ในไตรมาสต่อๆไป
นอกจากนี้ ธนาคารโลกยังได้พูดถึงเรื่องเงินหยวนของจีนว่า คงจะต้องใช้เวลากว่าที่เงินหยวนจะกลายเป็นสกุลเงินสำรองหลักของโลก เพราะสถานการณ์แวดล้อมในระดับสากลจะต้องเอื้ออำนวยด้วย เช่น ตลาดทุนที่เปิดกว้าง ตลาดปริวรรตเงินตราที่มีสภาพคล่อง ตลาดพันธบัตรที่สมบูรณ์ ตลอดจนอัตราแลกเปลี่ยนที่มีความยืดหยุ่น โดยธนาคารโลกได้ระบุถึงแผนการขยายขอบเขตการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศกำลังพัฒนาในรูปแบบของเงินหยวนแทนที่เงินดอลลาร์สหรัฐ และเปิดโอกาสให้ประเทศเหล่านี้ซื้อขายเงินหยวนได้ในตลาดฮ่องกง
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของจีนขยายตัว 6.1% ในไตรมาส 1 ของปีนี้ เมื่อเทียบกับระดับปีที่แล้ว นับเป็นสถิติการขยายตัวที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2542 ขณะที่ครม.จีนได้ออกมาระบุว่า เศรษฐกิจจีนเริ่มมีเสถียรภาพ และให้คำมั่นว่า จะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเต็มรูปแบบ
ทั้งนี้ การส่งออกของจีนอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่องมาเป็นเดือนที่ 7 แล้ว โดยยอดส่งออกเมื่อเดือนพ.ค.ตกลงถึง 26.4% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ธนาคารโลกระบุว่า การค้าโดยรวมของจีนมีแนวโน้มว่า จะอ่อนตัวลงในปีนี้
อาร์โด ฮันส์สัน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ด้านจีนของธนาคารโลก กล่าวว่า จีนยังไม่ได้มีอิทธิพลมากพอที่จะเป็นกลไกในการผลักดันให้เกิดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเมื่อพิจารณาจากปัจจัยแวดล้อมทั่วโลก