นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์(SCB)กล่าวในงานสัมมนาหัวข้อ“ฝ่าวิกฤติ ปรับตัว สู้เศรษฐกิจโลก"ว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะเป็นไปอย่างช้า ๆ แม้ว่าจะเห็น bottom แล้ว เนื่องจากวิกฤตครั้งนี้เกิดขึ้นพร้อมกันทั่วโลกทั้งในสหรัฐ และยุโรป และเป็นวิกฤติที่ควบคู่ไปกับปัญหาของภาคสถาบันการเงินด้วย จึงทำให้การฟื้นตัวช้ากว่าปกติตามความสามารถในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน
ข่าวร้ายที่ฉุดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(GDP)ของไทยอย่างมาก คือ การท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าทั้งปี 52 การท่องเที่ยวน่าจะหดตัวมากกว่าในอดีตเมื่อครั้งที่มีการระบาดของโรคซาร์สที่ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวหดตัว 1% แต่รายได้หายไป 7% แต่ปีนี้ผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจและการแพร่ระบาดของโรคหวัดใหญ่ 2009 จะมีมากกว่าและกระทบในวงกว้าง เพราะโรงแรม ร้านอาหาร และค้าปลีกมีน้ำหนักการจ้างงานถึง 20% ของการจ้างงานทั้งหมดของประเทศ
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า ปลายไตรมาส 3 ถึงปลายไตรมาส 4 การส่งออกและการผลิตภาคอุตสาหกรรมน่าจะดีขึ้น เนื่องจากการส่งออกและภาคอุตสาหกรรมของไทยน่าจะถึงจุดต่ำสุดแล้ว แต่การฟื้นตัวคงไม่ได้เร่งขึ้นอย่างรุนแรง เพราะการส่งออกของไทยขึ้นกับสหรัฐและยุโรป ซึ่งขณะนี้ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของทั้งสองภูมิภาคทรุดตัวลงแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการส่งออกอิเล็คทรอนิกส์ที่คำสั่งซื้อเริ่มกลับมาแล้ว แต่คงเป็น การ re-stocking มากกว่า โดยมองว่าปลายไตรมาส 2 และ 3 การส่งออกจะดีขึ้นมาก แต่จากนั้นก็จะเริ่มแผ่วลง
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวถึงแนวคิดการนำทุนสำรองฯมาใช้ว่า โดยส่วนตัวไม่เห็นด้วยเนื่องจากทุนสำรองควรใช้บริหารอัตราแลกเปลี่ยน ไม่ควรใช้บริหารภาคการคลัง ตอนนี้ปัญหาอุปสรรคของรัฐไม่ใช่การหาแหล่งเงินกู้ เพราะมีช่องสามารถแก้กฎหมายได้ แม้จะกู้ในประเทศไม่ได้ก็ไปกู้นอกประเทศได้ แต่อยู่ที่วิธีการจัดการโครงการที่จะลงทุนว่าทำได้รวดเร็วแค่ไหนมากกว่า
"การกู้เงินในประเทศของภาครัฐคงไม่ได้มากเท่ากับที่ข่าวออกมา ดังนั้นเชื่อว่าจะไม่กระทบสภาพคล่องในระบบที่มีในตลาดเงินระยะสั้น...ส่วนการที่สินเชื่อในระบบไม่โต เหตุผลหลักๆมาจากความต้องการสินเชื่อที่ลดลงของภาคธุรกิจ ไม่ใช่ว่าแบงก์ไม่ปล่อยกู้" นายเศรษฐพุฒิ กล่าว