รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) เปิดเผยว่า ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้(ม.ค.-พ.ค.52) มียอดรวม 377 ราย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มี 517 ราย ขณะที่เงินลงทุน 166,600 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีเงินลงทุน 183,600 ล้านบาท
ด้านเงินทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 36,500 ล้านบาท ลดลงจาก 42,500 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยทุนจดทะเบียนต่างชาติลดมาที่ 8,500 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ 23,700 ล้านบาท แต่ทุนจดทะเบียนไทยเพิ่มขึ้นเป็น 28,000 ล้านบาท จาก 18,700 ล้านบาท ส่งผลให้การจ้างงานลดลงมาก โดยในช่วงม.ค.-พ.ค.52 เหลือเพียง 27,209 คน จาก 89,510 คน ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับประเทศที่ยื่นขอรับโครงการลงทุนสูงสุด คือ ญี่ปุ่น 89 ราย รองลงมาเป็น ยุโรป, สิงคโปร์, อเมริกา, ไต้หวัน และฮ่องกง
ประเภทธุรกิจที่ขอรับส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด คือ ธุรกิจบริการและสาธารณูปโภค 131 โครงการ รองลงมา คือ ธุรกิจผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง และธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า แต่หากพิจารณาจากมูลค่าเงินลงทุนแล้ว พบว่า ธุรกิจบริการและสาธารณูปโภค มีเงินลงทุนสูงสุด 129,700 ล้านบาท รองลงมา คือ ธุรกิจด้านเกษตรกรรม และผลิตผลจากการเกษตร และธุรกิจผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง
ส่วนยอดอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนในช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ มีทั้งสิ้น 337 ราย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มี 469 ราย คิดเป็นเงินลงทุน 73,000 ล้านบาท มีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 10,500 ล้านบาท