เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เตรียมออกโรงปกป้องมาตรการสกัดกั้นวิกฤตการณ์การเงินที่เขาประกาศใช้ตลอดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งประธานเฟด ซึ่งการเตรียมการดังกล่าวมีขึ้นในช่วงเวลาที่สภาคองเกรสกำลังอภิปรายว่าจะเปิดทางให้เบอร์นันเก้รั้งตำแหน่งประธานเฟดต่ออีกสมัยหรือไม่ เพราะเบอร์นันเก้จะครบวาระการดำรงตำแหน่งในวันที่ 31 ม.ค.ปีหน้า
เบอร์นันเก้เตรียมแถลงต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติของสภาคองเกรสในสัปดาห์นี้ เกี่ยวกับขั้นตอนการให้ความช่วยเหลือแบงค์ ออฟ อเมริกา ในการเทคโอเวอร์กิจการเมอร์ริล ลินช์ เนื่องจากสภาคองเกรสมีข้อกังขาเรื่องการแทรกแซงของเฟด โดยการแถลงของเบอร์นันเก้จะมีขึ้นภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมเฟดในวันพรุ่งนี้
ประธานาธิบดีบารัค โอบามา กล่าวว่า เบอร์นันเก้ปฏิบัติหน้าที่ประธานเฟดได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ไม่ได้ให้คำมั่นสัญญาว่ารัฐบาลจะต้องแต่งตั้งเขาเป็นสมัยที่สอง ขณะที่นายทิโมธี ไกธ์เนอร์ รมว.คลังสหรัฐเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า มีความเป็นไปได้ที่ประธานาธิบดีโอบามาจะเสนอชื่อนายลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส ที่ปรึกษาเศรษฐกิจแห่งทำเนียบขาว ให้ดำรงตำแหน่งประธานเฟดต่อจากเบอร์นันเก้
ก่อนหน้านี้ เบอร์นันเก้ แถลงต่อคณะกรรมาธิการด้านงบประมาณแห่งสภาคองเกรสว่า ยอดขาดดุลงบประมาณของสหรัฐที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงในขณะนี้กำลังส่งผลคุกคามเสถียรภาพด้านการเงิน พร้อมกับเตือนว่า ยอดขาดดุลงบประมาณที่อยู่ในระดับสูงจะบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนและสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษบกิจในระยะยาว โดยการแสดงความคิดเห็นของเบอร์นันเก้มีขึ้นในช่วงเวลาที่เจ้าหน้าที่ทั้งในและต่างประเทศแสดงความวิตกกังวลต่อยอดขาดดุลงบประมาณที่บานปลายของสหรัฐ
"แม้สหรัฐจะพยายามใช้มาตรการเพื่อบรรเทาภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพด้านการเงิน แต่การรักษาความเชื่อมั่นของนักลงทุนก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม รัฐบาลสหรัฐจะต้องเร่งวางแผนลดยอดขาดดุลงบประมาณ ก่อนที่ปัญหาดังกล่าวจะส่งผลคุกคามเสถียรภาพด้านการเงิน" เบอร์นันกเก้กล่าวต่อคณะกรรมาธิการฯ
ทำเนียบขาวคาดการณ์ว่า ตัวเลขขาดดุลงบประมาณของสหรัฐจะปรับตัวสูงขึ้นเหนือระดับ 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณปัจจุบันซึ่งจะสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 2552 หรือสูงกว่าปีงบประมาณก่อนหน้าถึง 4 เท่า ส่วนตัวเลขขาดดุลปีงบประมาณ 2553 ซึ่งจะเริ่มต้นในวันที่ 1 ต.ค. คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ บลูมเบิร์กรายงาน