เกาหลีใต้ปรับเพิ่มคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจปี 2552 จากอานิสงส์ของมาตรการด้านการเงินและการปรับลดดอกเบี้ยที่ช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นผู้บริโภค ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้กระตุ้นให้บริษัทเอกชนเร่งเครื่องดำเนินการผลิตเพื่อรองรับอุปสงค์ที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น
กระทรวงยุทธศาสตร์และการคลังของเกาหลีใต้ระบุในรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจรอบครึ่งปีว่า เศรษฐกิจเกาหลีใต้จะหดตัว 1.5% ในปีนี้จากเดิมที่คาดการณ์เมื่อเดือนเม.ย.ว่าจะหดตัว 2% พร้อมทั้งคาดว่าในปีหน้าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ที่ 4%
อย่างไรก็ตาม ทางกระทรวงฯคาดว่าการส่งออกอาจหดตัว 16% ในปีนี้ก่อนที่จะเพิ่มขึ้น 11% ในปีหน้า ส่วนการใช้จ่ายภาคเอกชนจะลดลง 1.8% ในปี 2552 ก่อนจะดีดตัวขึ้น 3% ในปีต่อไป โดยในวันนี้รัฐบาลเกาหลีใต้เปิดเผยถึงการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไปเพื่อสร้างความมั่นใจว่าเศรษฐกิจจะสามารถฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งก่อนที่จะยกเลิกมาตรการดังกล่าว ซึ่งในปีนี้ดัชนีคอมโพสิตตลาดหุ้นเกาหลีใต้ไต่ระดับขึ้น 22% จากความหวังที่ว่าอุปสงค์ยานยนต์ของเกาหลีใต้ รวมถึงโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จะดีดตัวขึ้น ขณะที่ภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจเริ่มคลี่คลายลง
กระทรวงฯกล่าวว่า "ภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้นแล้ว หลังผลผลิตอุตสาหกรรมฟื้นตัวขึ้นขณะที่เศรษฐกิจไตรมาส 2 มีแนวโน้มขยายตัวขึ้นเกือบ 2% จากไตรมาสก่อนหน้านี้ แต่เราจะยังคงใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไปอีกระยะหนึ่งเพราะยังเห็นถึงความเสี่ยงทางเศรษฐกิจอยู่"
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ณ เวลา 10:51 น.ตามเวลาท้องถิ่น ดัชนีคอมโพสิตตลาดหุ้นเกาหลีใต้ไต่ระดับขึ้น 1.3% แตะที่ 1,381.25 จุด โดยมีหุ้นกลุ่มส่งออกและการเงินพุ่งขึ้นนำตลาด ขณะที่เงินวอนแข็งค่าขึ้น 0.2% มาอยู่ที่ 1,281.2 ต่อดอลลาร์สหรัฐ
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เศรษฐกิจเกาหลีใต้ได้เดินทางมาถึงจุดต่ำสุดและพร้อมที่จะดีดตัวขึ้นแล้วดังจะเห็นได้จากช่วงไตรมาสแรกที่เศรษฐกิจขยายตัว 0.1% ซึ่งบ่งชี้ว่าเกาหลีใต้สามารถรอดพ้นจากภาวะถดถอยทางเทคนิคเพราะมีปัจจัยหนุนจากการใช้จ่ายภาครัฐและการลดอัตราดอกเบี้ย
ทั้งนี้ รัฐบาลให้คำมั่นว่าจะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 67 ล้านล้านวอน (5.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) รวมถึงการจ่ายเงินสดช่วยเหลือผู้บริโภค 17.2 ล้านล้านวอน การออกเงินกู้คิดอัตราดอกเบี้ยต่ำ และการให้ความช่วยเหลือตลาดแรงงาน รวมไปถึงการใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคที่ทางรัฐสภาได้เห็นชอบไปเมื่อเดือนเม.ย. นอกจากนี้ รัฐบาลจะมุ่งใช้นโยบายสร้างงานมากขึ้น หลังอัตราว่างงานเดือนพ.ค.พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี พร้อมทั้งพยายามให้ความช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย