วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีนักลงทุนเจ้าของบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์ กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า สหรัฐจำเป็นต้องใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบที่ 2 เนื่องจากอัตราว่างงานมีแนวโน้มพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
"เศรษฐกิจในขณะนี้จำเป็นต้องใช้ยาที่แรงขึ้นเพราะอัตราว่างงานพุ่งสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ขัดขวางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ผมคาดว่าการรีบาวด์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐจะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ และคาดว่าอัตราว่างงานจะพุ่งขึ้นสูงกว่าระดับ 10% เท่าที่ผมประเมินในตอนนี้ เศรษฐกิจยังไม่วกกลับมาสู่ช่วงขาขึ้น และขณะนี้ยังบอกไม่ได้ว่าเมื่อใดที่เศรษฐกิจจะไปถึงจุดนั้นได้" บัฟเฟตต์
เมื่อเดือนก.พ.ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้ลงนามบังคับใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่ารวม 7.87 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งครอบคลุมถึงการลดหย่อนภาษีและทุ่มงบประมาณใช้จ่ายในโครงการสาธารณูปโภค โดยมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นการจ้างงานให้ได้ 3.5 ล้านตำแหน่ง นอกจากนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ภายใต้การคุมบังเหียนของเบน เบอร์นันเก้ ได้นำเงินออกจากคลังของเฟด เพื่ออัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงินเพื่อคลี่คลายภาวะตึงตัวด้านสินเชื่อ
ทั้งนี้ บัฟเฟตต์ได้กล่าวชื่นชมเบอร์นันเก้ที่สามารถกอบกู้ความเชื่อมั่นของสถาบันการเงินให้กลับมาเพิ่มวงเงินการปล่อยกู้ให้กับภาคเอกชนและผู้บริโภค โดยภาวะขาดความเชื่อมั่นในช่วงก่อนหน้านี้ส่งผลให้สถาบันการเงินในสหรัฐควบคุมการปล่อยกู้หลังจากการล้มละลายของเลห์แมน บราเธอร์ส ได้สร้างความตื่นตระแก่ระบบการเงินทั่วโลก
"เบอร์นันเก้เป็นคนจริงและมีความสามารถพอที่จะคุมบังเหียนเฟด เขาควรได้รับการสนับสนุนให้รั้งตำแหน่งประธานเฟดต่ออีกสมัย" บัฟเฟตต์กล่าว
สหรัฐมีประชากรตกงานราว 6 ล้านคนแล้วนับตั้งแต่เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยในเดือนธ.ค.ปีพ.ศ.2550 ส่วนอัตราว่างงานเดือนพ.ค.พุ่งขึ้น 9.4% มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 9.2% ขณะที่ประธานาธิบดีโอบามาคาดการณ์ว่า อัตราว่างงานจะพุ่งขึ้นเหนือระดับ 10% ภายในช่วงสิ้นปีนี้ บลูมเบิร์กรายงาน