แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า คณะทำงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลได้รับทราบผลการดำเนินงานตามโครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน(โครงการต้นกล้าอาชีพ) ล่าสุดพบว่าคณะกรรมการบริหารโครงการฯ ได้จัดสรรเงินงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการไปแล้ว 1,831 ล้านบาท คิดเป็น 26.54%ของงบประมาณที่ได้รับทั้งหมด 6,900 ล้านบาท
แยกเป็นจัดสรรให้กับสถาบันจัดฝึกอบรม เพื่อฝึกอบรมให้กับประชาชนทั่วไป 1,034 ล้านบาท จัดสรรให้กับส่วนราชการที่เข้าร่วมโครงการ 629 ล้านบาท และจัดสรรตามโครงการชะลอการเลิกจ้างที่ร่วมดำเนินการกับภาคเอกชน 167 ล้านบาท
ทั้งนี้ พบว่าตั้งแต่เปิดโครงการในเดือนเม.ย.-มิ.ย.52 มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 113,629 ราย แต่มีผู้เข้าฝึกอบรม 65,000 ราย ขณะที่มีผู้ว่างงานที่เข้าร่วมโครงการของส่วนราชการ 41,009 ราย และมีพนักงานของบริษัทเอกชนเข้าร่วมโครงการชะลอการเลิกจ้าง 55,000 ราย โดยเมื่อรวมทุกโครงการแล้วมีผู้เข้าฝึกอบรมทั้งสิ้น 161,009 ราย
แหล่งข่าว กล่าวว่า คณะกรรมการบริหารโครงการฯ ยังเห็นชอบจัดสรรเงินอีก 288 ล้านบาท ให้กับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) เพื่อดำเนินโครงการทำดีมีอาชีพ โดยฝึกอบรมเยาชนที่เข้าร่วมโครงการทำดีมีอาชีพและผ่านการอบรมแล้วเข้ารับฝึกทักษะวิชาชีพภายใต้โครงการต้นกล้าอาชีพ โดยมีเป้าหมายฝึกอบรมทั้งสิ้น 25,000 คน
นายกนก วงษ์ตระหง่าน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานอนุกรรมการดำเนินโครงการต้นกล้าอาชีพ กล่าวว่า โครงการต้นกล้าอาชีพยังได้รับความสนใจจากประชาชนค่อนข้างน้อย ทั้งที่เป็นโครงการที่ดีและได้ประโยชน์กับระบบเศรษฐกิจ และจากจำนวนผู้ที่จบหลักสูตรอบรมของโครงการล่าสุด มีผู้ว่างงานต้องการกลับภูมิลำเนาประมาณ 30% ซึ่งจะส่งเจ้าหน้าที่ไปติดตามว่าแรงงานเหล่านี้สามารถประกอบอาชีพของตนเองและมีงานทำตามเป้าหมายของรัฐบาลเพียงใด เนื่องจากแรงงานเหล่านี้ถือเป็นแรงงานที่มีทักษะและมีส่วนช่วยปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศในระดับฐานราก เพราะมีความรู้และทักษะในการเพิ่มผลิตภาพของผลผลิต