ธนาคารต่างๆในสหรัฐกำลังเดินเรื่องเพื่อคัดค้านแผนการจัดตั้งสำนักงานคุ้มครองผลิตภัณฑ์ทางการเงินสำหรับผู้บริโภคของประธานาธิบดีบารัค โอบามา เนื่องจากธนาคารเหล่านี้ต้องการคงรายได้จากค่าธรรมเนียม เช่น ค่าธรรมเนียมจากบัตรเครดิตที่สูงถึงเกือบ 2 เท่าในช่วงระยะเวลา 5 ปี
อาร์ เค แฮมเมอร์ อินเวสท์เมนท์ แบงเกอร์ ระบุว่า ค่าธรรมเนียมที่ธนาคารคิดนั้นเป็นสัดส่วนถึง 53% ของรายได้ในธุรกิจการธนาคารเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงขึ้นจากระดับปี 2538 ถึง 35% ทางด้านเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ธนาคารรายใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐ ระบุว่า รายได้จากค่าธรรมเนียมดังกล่าวเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าในไตรมาสแรก และสำนักงานคุ้มครองผลิตภัณฑ์ทางการเงินอาจจะทำให้ต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆเพิ่มขึ้น
อเล็กซ์ พอลล็อค เจ้าหน้าที่ของสถาบันอเมริกัน เอ็นเตอร์ไพรซ์ กล่าวกับคณะกรรมการบริการการเงินของสภาผู้แทนฯ กล่าวว่า สำนักงานฯดังกล่าวจะเป็นระบบการกำกับดูแลที่เพิ่มขึ้นและยังเป็นภาระที่ใหญ่หลวง อีกทั้งยังเป็นความเสี่ยงด้านการกำกับดูแล
โอบามาได้เสนอให้มีการจัดตั้งสำนักงานคุ้มครองผลิตภัณฑ์ทางการเงินสำหรับผู้บริโภค โดยให้อำนาจองค์กรในการลงโทษบริษัทที่ทำผิดกฎ รวมทั้งดึงอำนาจบางส่วนจากธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการยกเครื่องกฎระเบียบด้านการเงิน ซึ่งองค์กรจะมีอำนาจในการสั่งห้ามใช้เงื่อนไขหรือการดำเนินการใดๆที่ไม่มีความเป็นธรรม ซึ่งปัจจุบันอำนาจดังกล่าวอยู่ภายใต้การดูแลของ FED
บริษัท เจนเนอรัล อิเล็กทริก (GE) เผยไม่เห็นด้วยกับแผนการยกเครื่องระเบียบการเงินบางส่วนที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้เสนอไว้ เนื่องจากนักวิเคราะห์หลายรายมองว่า การยกเครื่องระเบียบการเงินดังกล่าวอาจจะบีบให้บริษัทต้องยุบธุรกิจไฟแนนซ์ จีอี แคปิตอล
แบรกเก็ต เดนนิสตัน ผู้บริหารของจีอี กล่าวว่า เราไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอดังกล่าว วิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้หมายความว่า จะต้องมีการออกกฎใหม่ขึ้นมาเพื่อแยกแยะว่าสถาบันการเงินใดควรจะทำธุรกิจการธนาคารหรือไม่ แต่จีอีเห็นด้วยกับแนวคิดในการติดตามและสอดส่องดูแลความเสี่ยงที่จะทำให้ระบบการเงินทั้งระบบได้รับความเสียหาย