นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เปิดเผยว่า การที่กระทรวงการคลังมออกพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็งวงเงิน 50,000 ล้านบาทในเดือน ก.ค.52 โดยมีอัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได เฉลี่ยที่ 4% ต่อปี อาจจะทำให้ผู้ที่ฝากเงินในธนาคารมีการถอนเงินฝากเพื่อมาซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ครั้งนี้ และจะมีผลทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ปรับสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก (Spread) แคบลง
อย่างไรก็ตาม การที่กระทรวงการคลังกำหนดดอกเบี้ยสูงกว่าตลาด แต่ไม่ได้กระทบทำให้ต้นทุนการกู้เงินของรัฐบาลสูงขึ้น เพราะปัจจุบัน รัฐบาลมีต้นทุนการกู้เงินในอัตรานี้อยู่แล้ว ดังนั้น จึงไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนของรัฐบาล
"ตอนนี้เงินฝากในแบงก์ไม่ถึง 1% แต่การซื้อพันธบัตรออมทรัพย์จะได้ฝากเงินที่มั่นคง ถือเป็นผลตอบแทนที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน และพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง ได้เชื่อมโยงโดยตรงกับการลงทุนตามแผนปฎิบัติการไทยเข้มแข็งของรัฐบาล และประชาชนมีส่วนร่วมต่อการลงทุนใน 6,000 โครงการที่เตรียมไว้แก้ปัญหาเศรษฐกิจ" นายกรณ์ กล่าว
รมว.คลัง กล่าวว่า การกำหนดอัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรออมทรัพย์ครั้งนี้ ได้พิจารณาถึงแนวโน้มของการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในระยะ 5 ปีข้างหน้าไว้แล้วเช่นกัน เนื่องจากหากสถานการณ์เศรษฐกิจฟื้นตัวจะทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น และผลตอบแทนในตลาดสูงขึ้น ดังนั้น จึงได้มีการกำหนดอัตราผลตอบแทนแบบขั้นบันได