ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (26 มิ.ย.) หลังจากมีข่าวว่าธนาคารกลางจีนพยายามเรียกร้องให้มีการใช้สกุลเงินอื่นแทนสกุลเงินดอลลาร์ในระบบทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของโลก นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้รับแรงกดดันจากรายงานที่ว่าอัตราการออมส่วนบุคคลในสหรัฐมีมากกว่าตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภค
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลง 0.74% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 95.190 เยน/ดอลลาร์ จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 95.900 เยน/ดอลลาร์ และดิ่งลง 1.07% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 1.0818 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.0935 ฟรังค์/ดอลลาร์
ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้น 0.61% แตะที่ 1.4071 ดอลลาร์/ยูโร จากระดับ 1.3985 ดอลลาร์/ยูโร และค่าเงินปอนด์พุ่งขึ้น 0.94% แตะที่ 1.6521 ดอลลาร์/ปอนด์ จากระดับ 1.6367 ดอลลาร์/ปอนด์
ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้น 0.60% แตะที่ 0.8075 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับ 0.8027 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ดีดขึ้น 0.09% แตะที่ 0.6461 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.6455 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคประจำเดือนพ.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.3% ซึ่งสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ แต่อัตราการออมส่วนบุคคลพุ่งขึ้นแตะระดับ 6.9% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 15 ปี
นักวิเคราะห์มองว่าอัตราการออมส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้นเป็นผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว แต่อาจทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าหากผู้บริโภคมีการออมมากกว่าการใช้จ่าย ก็อาจขัดขวางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้
จีนได้แสดงความกังวลว่าสกุลเงินดอลลาร์จะอ่อนตัวลงอี ซึ่งจะทำให้มูลค่าพันธบัตรที่จีนถือครองอยู่ลดน้อยลงด้วย โดยปัจจุบันจีนเป็นผู้ถือครองพันธบัตรรายใหญ่สุดของสหรัฐที่ระดับ 7.44 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาซึ่งสิ้นสุด ณ เดือนก.พ.
การอ่อนค่าลงของดอลลาร์ทำให้จีนเรียกร้องให้มีการใช้เงินสกุล SDR เป็นค่ามาตรฐานในระบบสำรองเงินตราแทนที่สกุลเงินดอลลาร์ของสหรัฐ ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าความเคลื่อนไหวของจีนครั้งนี้มีนัยสำคัญต่อตลาดปริวรรตเงินตราทั่วโลกและสะท้อนให้เห็นว่าความสำคัญของดอลลาร์สหรัฐในฐานะสกุลเงินหลักของระบบทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ "กำลังจะจบสิ้นลง"
SDR (Special Drawing Rights) ซึ่งแปลตามตัวอักษรคือ "สิทธิถอนเงินพิเศษ" เป็นเกณฑ์วัดน้ำหนักทาทงเศรษฐกิจของชาติสำคัญๆที่เป็นสมาชิกของ IMF จากนั้นนำไปตีมูลค่าใหม่ให้อยู่ในรูปของค่าเงินเพื่อจะนำมาอ้างอิงในยามที่ชาติสมาชิกต้องการกู้เงิน หรือเอาไว้ซื้อขายเงินตราระหว่างประเทศของตนเอง